ปรากฏการณ์ทางสังคมที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน คือ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้คนในสังคม 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
1. มนุษย์เงินเดือน
2. เกษตรกร
3. ผู้ใช้แรงงาน
ผู้คนสามกลุ่มนี้ เต็มไปด้วย ความทุกข์ใจ ไร้ความหวัง หมดกำลังใจ แก้ไขปัญหาชีวิตไม่ตก ฝนแล้ง ทำการเกษตรไม่ได้ ค้าขายไม่ดี เดือดร้อนเรื่องการเงิน เงินเดือนไม่พอใช้ รายจ่ายท่วมหัว เป็นหนี้เป็นสิน
เมื่อหมดหนทางหาทางออกด้วยตนเอง จึงต้องการความช่วยเหลือ
ในเวลาเดียวกันก็มีบุคคลจำนวนหนึ่ง อาจเรียกว่า "ผู้หวังดี" มองเห็นปรากฏการณ์นี้ และมองเห็นโอกาส จึงพยายามหยิบยื่นสิ่งที่เรียกว่า "ความช่วยเหลือ" เพื่อให้คนพ้นทุกข์
ความช่วยเหลือมาในรูปแบบหลากหลาย แต่ที่ปรากฏมากที่สุดเห็นจะได้แก่ "การสร้างความเชื่อ" ทั้งการสอน แนะนำ ปลูกฝัง อบรม ให้ผู้คนที่มีปัญหา ผู้คนที่มีความทุกข์ มีความเชื่อรูปแบบใดแบบใดรูปแบบหนึ่ง ดังนี้
1. ตอกย้ำความเชื่อเดิม
2. เปลี่ยนความเชื่อใหม่
3. ครอบงำด้วยความเชื่อใหม่ ตามที่ผู้สอนต้องการชักนำให้ไปในทิศทางนั้น
ความเชื่อที่ผู้รู้พยายามสร้างให้เกิดขึ้นแก่ผู้คน แบ่งออกเป็น 10 ประเภท ได้แก่
1. ความเชื่อในโชคลาภ
2. ความเชื่อในตัวเลข
3. ความเชื่อในตัวบุคคลที่เป็นผู้นำทางความคิด ผู้นำจิตวิญญาณและผู้นำศาสนา
4. ความเชื่อในหลักการของศาสนา
5. ความเชื่อในความรู้ทางวิทยาศาสตร์
6. ความเชื่อในความสุขจากการบริโภค
7. ความเชื่อในภาพลักษณ์
8. ความเชื่อในเทคโนโลยี
9. ความเชื่อในความสุขจากเงิน
10. ความเชื่อในศักยภาพของตนเอง
เราลองไตร่ตรองดูว่า ความเชื่อแบบไหนที่พาเราไปให้พ้นทุกข์ได้
ผู้มีความทุกข์จำนวนหนึ่งพ้นทุกข์ แต่ยังคงมีผู้คนมากมายกลับทุกข์หนักยิ่งกว่าเดิม ชีวิตตกต่ำลง มีแต่ทางเสีย ส่วนทางได้ที่ถูกทำให้เชื่อว่าจะได้ กลับไม่เคยพบพาน
ประเด็นมันอยู่ที่ "ความช่วยเหลือ" จากมือของ "ผู้หวังดี" ที่หยิบยื่นมานั้น มันตั้งอยู่บนพื้นฐานอะไร มีเจตนาที่แท้จริงอย่างไร ซึ่งเราจำแนกความช่วยเหลือได้ 3 ประเภท คือ
1. ความหวังดีที่แท้จริง จริงใจ เต็มไปด้วยมิตรไมตรี
2. ความหวังดีแบบต่างตอบแทน
3. ความหวังดีแบบผลกำไร
เราจึงได้เห็นรูปแบบความช่วยเหลือที่หลากหลาย เช่น เงินด่วน เงินทันใจ เงินติดล้อ เงินกู้ตามเสาไฟ แม้กระทั่งความช่วยเหลือที่ดูหรูหรา เช่น ช็อปช่วยชาติ ลดกระหน่ำช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ช่วยผ่อนเงินดาวน์ให้ ผ่อน 0% 10 เดือน
แม้แต่ชวนกันมา "สัมมนา" นับร้อยชื่อ เพื่อให้ค้นพบ "ทางออกของปัญหา" แต่หลายรายกลับเจอปัญหาใหม่ คือ ต้องหาเงินมาจ่ายหนี้ที่กู้เขามาเข้าสัมมนา
อันที่จริงการสัมมนาหลายเรื่องมีประโยชน์จริง ช่วยคนได้มาก แต่หลายสัมมนากลับสร้างปัญหาให้คนเพิ่ม
ความยากอยู่ที่ผู้คนจะรู้ได้อย่างไรว่า บรรดาความช่วยเหลือที่มีผู้แข่งกันหยิบยื่นมาให้ "อันไหนดีจริง อันไหนดีปลอม"
คนจนคนยาก ไม่มีเงินมากพอที่จะ "ลองผิด ลองถูก" ไม่มีเวลามากพอที่จะ "เดินหลงทาง" เพราะ ชีวิตทุกวันมันมีแต่ความเจ็บปวด ทุกข์ทน
คำตอบของเรื่องนี้อยู่ที่ไหน ?
รัฐบาล? หน่วยราชการ? สถาบันการศึกษา?
วัด? โบสถ์? พระ? ครู? อาจารย์? วิทยากรในการสัมมนา? ตำรวจ? ทหาร? นักการเมือง? นักลงทุน?
คำตอบน่าจะอยู่ที่ "ตัวเอง"
จงเลือกที่จะ "เชื่อตัวเอง"
มากกว่า "เชื่อความช่วยเหลือที่มีผู้หยิบยื่น"
จงเชื่อตัวเองให้มากเข้าไว้
จงเชื่อตัวเอง นับถือตัวเอง เชื่อในคุณค่าของตัวเองให้มากที่สุด มากจนลึกสุดหัวใจ
ฝังเข้าไปในห้วงความคิด ตราตรึงไว้ในจิตใต้สำนึกของคุณ
หนทางที่คุณจะเกิดความเชื่อเช่นนั้นได้ มีเพียงหนทางเดียวคือ "การเรียนรู้" ด้วยการ "เรียน" เพื่อที่จะสร้าง "ความรู้" เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตของคุณ
จงเรียนรู้เพื่อ
ค้นพบตัวเอง
ค้นหาความสามารถของตนเองที่มี
ค้นหาจิตใจของตนเอง ฝึกฝนจิตใจตนเอง
จงใช้สติให้มาก
จงใช้ปัญญาให้มาก
จงใช้จิตใจด้านสะอาดให้มาก
จงใช้ความคิดด้านสว่างให้มาก
จงใช้ความอดทนให้มาก
จงใช้ความขยันให้มาก
จงใช้ความกระตือรือร้นให้มาก
จงใช้ความเข้มแข็งให้มาก
จงใช้ความพยายามให้มาก
จงทำความดีให้มาก
จงทำประโยชน์ให้ผู้อื่นให้มาก
จงช่วยเหลือผู้อื่นให้มาก
การเรียนรู้ และ การลงมือทำ ด้วยตัวคุณเองจะช่วยให้ชีวิตของคุณดีขึ้นอย่างแน่นอนที่สุด
15 มิ.ย. 59
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น