ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการสร้างนวัตกรรม
ปัจจัยที่ทำให้องค์กรเกิดการสร้างนวัตกรรมมีหลายปัจจัย
ปัจจัยที่เป็นแรงกระตุ้นและก่อให้เกิดความต้องการให้องค์กรต้องมีการเรียนรู้และมีการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องมีหลายปัจจัย
ปัจจัยเหล่านี้ได้เป็นแรงขับให้องค์กรสร้างกระบวนการเรียนรู้และสร้างนวัตกรรมดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งเป็นแรงขับและท้าทายให้องค์กรสร้างความคิดใหม่ (new idea) สร้างเป้าหมายใหม่
(new goals) ขององค์กรขึ้นมา
ส่วนใหญ่แล้วการสร้างความคิดใหม่และการสร้างนวัตกรรมใหม่ มักจะมุ่งตอบสนองเป้าหมายในการสร้างความเติบโต
ในการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ ปัจจัยที่เป็นแรงขับให้เกิดการสร้างนวัตกรรมแบ่งออกเป็น
3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (O’Sullivan and Dooley, 2009
pp.12-14)
1. การอุบัติขึ้นของเทคโนโลยี (Emerging technologies)
2. ความเคลื่อนไหวของคู่แข่งขัน (Competitor actions)
3. ความคิดใหม่ที่ได้จากลูกค้า หุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ และพนักงาน (New
ideas from Strategic partners, and Employees)
4. การอุบัติขึ้นของการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์กร (Emerging
changes in the external environment)
การอุบัติขึ้นของเทคโนโลยี
(Emerging technologies)
เทคโนโลยีเป็นปัจจัยที่มีศักยภาพมากที่สุดในการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เกิดความคิดใหม่ เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ ทั้งนวัตกรรมเชิงผลิตภัณฑ์ (innovative
products) นวัตกรรมการบริการ (innovative services) นวัตกรรมเชิงกระบวนการ (innovative process)
นวัตกรรมเชิงกลยุทธ์ (innovative strategy) แต่เดิมมาการสร้างนวัตกรรมมักเกิดขึ้นในห้องทดลองเป็นหลัก
แต่ในปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้การสร้างนวัตกรรมทำได้ทุกที่ ทุกคน
ทุกกลุ่มบุคคล ทุกองค์กร แหล่งของการสร้างนวัตกรรม เช่น มหาวิทยาลัย นักวิจัย
กลุ่มนักศึกษา สตาร์ทอัพ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญการใช้เทคโนโลยี
ความเคลื่อนไหวของคู่แข่งขัน (Competitor actions) ความเคลื่อนไหวด้านการสร้างนวัตกรรมของคู่แข่งขันเป็นแรงกดดันให้องค์กรต้องเรียนรู้
ปรับตัว กลายเป็นคู่เทียบในการพัฒนา (benchmark) ทั้งการทำโครงการ
การสร้างการริเริ่ม บางองค์กรใช้วิธีการเลียนแบบคู่แข่งขันเพื่อลดความเสี่ยง
บางองค์กรใช้วิธีการเป็นผู้นำตลาดในการสร้างนวัตกรรมใหม่
ความคิดใหม่ที่ได้จากลูกค้า หุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ และพนักงาน (New
ideas from Strategic partners, and Employees) ในอดีตที่ผ่านมา
นวัตกรรมจะถูกพัฒนามาจากความคิดของนักออกแบบและวิศวกรในองค์กรเป็นหลัก
แต่ในปัจจุบันความซับซ้อนของเทคโนโลยี การแบ่งส่วนตลาดออกไปหลากหลาย
ความเป็นองค์กรสมัยใหม่
กลายเป็นสิ่งที่สร้างความรู้สึกผูกพันให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียกับองค์กรให้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างนวัตกรรม
ช่วยทำให้องค์กรสำรวจข้อมูลข่าวสารได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มศักยภาพ (capabilities)
ในการเข้าใจความต้องการของตลาด ความรู้สึกผูกพันของพนักงาน
ซับพลายเออร์ ลูกค้า และบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและองค์กร ได้กลายมาเป็นปัจจัยสร้างโอกาสในการสร้างและพัฒนานวัตกรรมขององค์กร
ในการให้ข้อมูล การให้คำแนะนำ การสร้างความร่วมมือ ในการสร้างนวัตกรรม ลูกค้าในความหมายดังกล่าวข้างต้นนี้
หมายรวมถึงประชาชนที่เป็นผู้รับบริการ ประชาชนที่เป็นผู้ได้รับผลจาการปฏิบัติงานของรัฐบาล
องค์กรทางการเมือง พรรคการเมือง นักการเมือง และสื่อ/สื่อมวลชน
การอุบัติขึ้นของการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์กร (Emerging
changes in the external environment) สิ่งแวดล้อมภายนอกองค์กรมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง
และเป็นแรงขับให้เกิดการสร้างนวัตกรรม สิ่งแวดล้อมภายนอกองค์กรเกิดจากความเคลื่อนไหวของคู่แข่งขันที่มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ
รวมทั้งเกิดจากการสิ่งแวดล้อมของสภาพเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง
องค์กรจำเป็นต้องต่อสู่ฝ่าฟันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจใหม่ของตนเองขึ้นมา
องค์กรจึงจำเป็นต้องสร้างนวัตกรรมให้กับผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการขององค์กร
หลักการพื้นฐานในการสร้างนวัตกรรม
การสร้างนวัตกรรมมีหลักการพื้นฐาน
ดังต่อไปนี้ (West, 1992: 204 อ้างถึงใน ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน https://nattawatt.blogspot.com/)
1. การสร้างนวัตกรรม
นวัตกรรมที่สร้างต้องสอดคล้องต้องกันอย่างมากที่สุดระหว่างองค์กรและตำแหน่งทางการตลาด
2.
การสร้างนวัตกรรมนั้นต้องสอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร
3.
การสร้างนวัตกรรมนั้นต้องสอดคล้องกับการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารขององค์กร
4.
การสร้างนวัตกรรมนั้นต้องมีการกำหนดทิศทางอย่างเป็นรูปธรรมชองกฎเกณฑ์ด้านสมรรถนะของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ในขั้นตอนเริ่มแรกลงมือสร้างนวัตกรรม
5.
การสร้างนวัตกรรมนั้นต้องมีวิธีการที่เหมาะสมในการทดสอบความต้องการของตลาดที่มีต่อผลิตภัณฑ์นั้น
6.
การสร้างนวัตกรรมที่เป็นผลิตภัณฑ์นั้นต้องคำนึงถึงหลักการว่า
ผู้สร้างนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จจะต้องสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมนั้น
ให้เป็นสิ่งที่เป็นผลรวมของ คุณประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ (customer
benefits) ทั้งเชิงเทคนิคและไม่ใช่เชิงเทคนิค
รวมทั้งด้านทัศนคติของลูกค้าอีกด้วย
7. การสร้างนวัตกรรม
นวัตกรรมที่สร้างต้องสอดคล้องกับเป้าหมายของการสร้างนวัตกรรมขององค์กร เป้าหมายของการสร้างนวัตกรรมขององค์กรเป็นสิ่งที่กำหนดว่าองค์กรต้องการบรรลุผลสำเร็จในเรื่องอะไร
ซึ่งโดยหลักการแล้วการสร้างนวัตกรรมขึ้นมานั้นต้องสอดคล้องกับเป้าหมายดังนี้คือ
7.1 เพื่อสร้างการเจริญเติบโต
(Growth)
7.2
เพื่อสร้างผลกำไร (Profit)
7.3
เพื่อความอยู่รอดขององค์กรและธุรกิจ (Survival)
หลักการเฉพาะในการสร้างนวัตกรรม
การสร้างนวัตกรรมมีหลักการเฉพาะที่สำคัญ
ดังต่อไปนี้ (West, 1992: 204 อ้างถึงใน ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน https://nattawatt.blogspot.com/)
1. คิดเชิงกลยุทธ์
(Think strategic) การสร้างนวัตกรรมต้องเป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ที่ต้องมีการวิเคราะห์และประเมินระหว่างความต้องการของตลาดกับทรัพยากรขององค์กร
ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมไปตามการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยด้านเทคโนโลยี
เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การสร้างนวัตกรรมผู้บริหารธุรกิจและผู้บริหารองค์กรจึงต้องหาวิธีการสร้างความลงตัวระหว่างทรัพยากรขององค์กรกับความต้องการของตลาด
เพื่อสร้างกลยุทธ์ในการแข่งขันและการพัฒนาเพื่อสร้างความเจริญเติบโตขององค์กร สิ่งสำคัญคือ
องค์กรจะต้องคิดเชิงกลยุทธ์ ในการบริหารจัดการปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
เพื่อให้องค์กรเป็นผู้ควบคุมสภาพแวดล้อมและการแข่งขัน
มากกว่าที่จะปล่อยให้มันควบคุมองค์กร
สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ
“จงลงมือควบคุมการเดินทางไปสู่สุดหมายปลายทางขององค์กรตัวเอง หากคุณไม่ควบคุมมัน
จะมีบางคนเข้ามาควบคุมแทน”
2. คิดต่าง (Think
different) ไม่มีองค์กรใดสร้างความสำเร็จได้จากการเลียนแบบคู่แข่งขัน
การสร้างนวัตกรรมต้องไม่ใช่แค่การผลิตสินค้าหรือบริการที่ดีเยี่ยมเท่านั้น แต่ผู้บริหารและทีมงานสร้างนวัตกรรมต้องคิดทำในสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่
วิธีการคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมตามที่
เดอร์ โบโน (De Bono) อธิบายไว้คือ การคิดของมนุษย์ 3
ขั้นตอน ได้แก่ (West, 1992: 205)
1) ขั้นตอนที่หนึ่ง
การคิดเพื่อสร้างความเข้าใจ (understanding) โดยการใช้การตั้งทำถามว่า
“ทำไม” (Why) อันเป็นสิ่งที่โบโนเรียกว่า ระยะทำไม (Why
phase)
2) ขั้นตอนที่สอง
การคิดเพื่อค้นหาวิธีการแก้ปัญหา (problem solving) เมื่อได้เข้าใจแล้วว่าทำไมจึงเป็นแบบนั้น
ขั้นต่อมาคือการพยายามประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้ไปแก้ไขปัญหา โดยการใช้การตั้งทำถามว่า
“ทำไม” (Why not) อันเป็นสิ่งที่โบโนเรียกว่า ระยะทำไมไม่ (Why
not phase)
3) ขั้นตอนที่สอง
การเกิดความรู้เชิงปัญญา (wisdom) เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะอย่างหนึ่ง
เป็นการคิดที่ทำให้มนุษย์ค้นพบวิธีการแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ (possible
solutions) อันเป็นสิ่งที่โบโนเรียกว่า ระยะเพราะว่า (Because
phase)
การคิดเพื่อสร้างนวัตกรรม
องค์กรจะต้องไม่คิดไหลไปตามกระแส
ไม่คิดไหลไปตามฝูงชนที่พากันแห่ไปในทิศทางเดียวกัน แต่ควรจะต้องคิดในทิศทางที่แตกต่างจากกระแส
และนำเสนอสิ่งใหม่แก่ตลาด องค์กรจะต้องมุ่งเน้นแนวคิดและบทบาทของการเป็นผู้ประกอบการ
(entrepreneurism) มากกว่าการเป็นเพียงผู้ตอบสนอง (reaction)
สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ
“การสร้างความประหลาดใจ (surprise) คือ
ปัจจัยสำคัญในการสร้างการโจมตีตลาดที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุด”
3. คิดถึงคุณประโยชน์ของลูกค้า
(Think customer benefit) นักออกแบบนวัตกรรมต้องคิดว่า
อะไรคือสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ (wants) อะไรคือคุณประโยชน์ที่แท้จริงที่องค์กรสามารถเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่หรือบริการใหม่ให้แก่ลูกค้า
คุณประโยชน์ที่องค์กรจะนำเสนอนั้นสามารถก่อให้เกิดประสิทธิผลแก่ลูกค้าจริงหรือไม่
องค์กรสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มที่แท้จริงให้กับผลิตภัณฑ์นั้นจริงหรือไม่
ลูกค้าสามารถรับรู้ถึงคุณค่าใหม่ที่สร้างขึ้นนี้หรือไม่
ต้องมีการนิยามความต้องการของลูกค้าในทุกมิติเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ประเด็นทางเทคนิค
การสนับสนุน การบริการ ราคา
สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ
“มีเพียงลูกค้าเท่านั้นที่เป็นคนจ่ายค่าจ้างให้กับคุณ”
4. คิดถึงรายละเอียด
(Think customer benefit) การใส่รายละเอียดลงในแผนงานเป็นหลักสำคัญของการสร้างนวัตกรรมที่มีประสิทธิผล
องค์กรจะต้องแปลงคุณประโยชน์ที่ลูกค้าต้องการ ให้กลายเป็นแนวคิดของนวัตกรรม (innovative
concept) ที่มีประสิทธิผล ต้องนิยามองค์ประกอบแต่ละส่วนในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ลูกค้า
ต้องแสดงศักยภาพเชิงการทดลองในระดับสูง
ต้องมีการคิดถึงกระแสเงินสดและต้นทุนที่จะใช้จ่าย
ผู้ออกแบบและผู้บริหารจัดการนวัตกรรมต้องพยายามจำกัดความไม่แน่ใจในความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในกระบวนการสร้างนวัตกรรม
โดยสร้างต้นแบบที่เฉพาะเจาะจงขึ้นมาก่อน เพื่อทดสอบทางวิศวกรรม
เพื่อประเมินปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดหมาย และเพื่อหาทางแก้ไขไว้ล่วงหน้า
สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ
“การเดินทางที่รวดเร็วที่สุด เป็นผลมาจากการที่เรารู้เส้นทาง
และรายละเอียดของการเดินทางมากที่สุด”
5. คิดถึงสภาพภายใน
(Think internal) การสร้างนวัตกรรมเป็นเรื่องยากและซับซ้อนแต่เป็นเรื่องที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จมากที่สุด
องค์กรและพนักงานในองค์กรจะต้องใช้ความพากเพียรวิริยะอุตสาหะในการทำงาน
พยายามสร้างเสริมจุดแข็งที่มีอยู่ในองค์กร การเน้นปัจจัยภายในองค์กรจะช่วยป้องกันการเกิดความสูญเสียที่เป็นบทเรียนราคาแพง
อันเกิดจากความผิดพลาดในการสร้างผลิตภัณฑ์ ลูกค้า เทคโนโลยี ตลาด
ในส่วนที่คนในองค์กรไม่มีความเข้าใจเพียงพอ
การให้ความสนใจจริงจังกับทรัพยากรภายในองค์กรอันเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารจัดการผลักดันให้เกิดการสร้างนวัตกรรม
การประเมินสถานการณ์ การคาดการณ์วัตถุประสงค์ การวางการลงทุนให้ตรงจุดว่าควรจะลงทุนในจุดใดจึงจะเหมาะสม
ควรมองถึงผลต่อการขายสินค้าได้ในระยะยางมากกว่าระยะสั้น
มองไปที่ความเติบโตขององค์กรโดยการสร้างมูลค่าเพิ่ม
สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ “ถ้าคุณไม่มีข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน
อย่าคิดไปแข่งขัน”
6. คิดเชิงความรู้
(Think knowledge) การคิดเพื่อสร้างนวัตกรรม
องค์กรจะต้องมีความฉลาดรอบรู้ในการสร้างความรู้ การหาความรู้ และการใช้ความรู้
ความรู้ที่สร้างสมขึ้นมาในองค์กร ความรู้ในตัวของพนักงาน
จะต้องถูกนำมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลติภัณฑ์หรือบริการขององค์กร
สร้างแรงจูงใจในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง สร้างสามารถเชิงการแข่งขัน
สร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันขององค์กร องค์กรควรเน้นการพัฒนาความรู้ในองค์กร
โดยตัดสินใจว่าข้อมูลข่าวสารแบบใดเป็นสิ่งที่เอื้อต่อการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่
ก่อให้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์
และข้อมูลข่าวสารนั้นช่วยสร้างบรรยากาศภายในองค์กรให้เกิดความกระหายใคร่รู้
เพื่อกระตุ้นให้เกิดความรู้แต่ละด้านในระดับสูงสุด สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจาก
การคัดเลือกพนักงาน การใช้ข้อมูลข่าวสาร การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
การฝึกอบรม การสร้างแรงจูงใจ
สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ
“ความรู้ โดยตัวของมันเองคืออำนาจ” (Knowledge itself is power)
7. คิดถึงพนักงาน
(Think people) บริษัทที่ได้ชัยชนะจะพยายามใช้ความรู้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้ามากกว่าการแข่งขัน
ความรู้เป็นองค์ประกอบที่ช่วยให้พนักงานกลายเป็นปัจจัยการแข่งขันด้านการพัฒนาในอนาคต
การยึดกุมพนักงานและครองใจพนักงานที่มีศักยภาพ
ทำให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
การสร้างความกระตือรือร้นในการสร้างนวัตกรรม
สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ
“การต่อสู้ส่วนใหญ่ เป็นการเอาชนะในห้วงความคิดของพนักงานเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำ
และมันเป็นปัจจัยเดียวที่จะทำให้สินค้าอยู่ได้ในตลาด”
8. คิดทำให้เป็นขนาดเล็ก
(Think thin) การคิดเพื่อสร้างนวัตกรรมต้องอาศัยความรู้เพิ่มขึ้น
มีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น ต้องเร็วขึ้นและเร็วกว่าคู่แข่งขัน
สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าใจลูกค้า
ผลิตมูลค่าเพิ่มที่เหนือกว่า จะทำให้องค์กรสามารถเป็นผู้นำในตลาด การประชุม
การพบปะกลายเป็นเรื่องสำคัญที่องค์กรต้องยอมจ่าย ยอมจัดให้มีความสะดวกสบาย
ต้องมีบรรยากาศที่ดี เพราะเป็นที่สร้างนวัตกรรม องค์กรต้องเข้าใกล้ชิดตลาดให้มากขึ้น
ต้องมีการแบ่งปันความรู้ แบ่งปันข้อมูลข่าวสาร
ต้องมุ่งเน้นการลงมือปฏิบัติมากกว่าการเฝ้าดูผลสะท้อนกลับ
สิ่งเหล่านี้จะทำให้องค์กรเป็นผู้นำด้านวัตกรรม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น