ฤาษีแปลงสาร
...................
สิ่งที่เป็น "ความรู้" ไม่ทำอันตรายผู้คนและสังคม
แต่สิ่งที่ทำอันตรายผู้คนและสังคม คือ "ความไม่รู้"
การทำให้คนไม่รู้ ด้วยวิธีการ "แปลงสาร" จาก "ความรู้" ให้กลายเป็น "ความคิดเห็น" และ "อารมณ์"
เพราะความสามารถของมนุษย์ในการ "แปลงสาร" โดยการเล่าเรื่องเสียใหม่ ใช้กลวิธีดัดแปลง ต่อเติม เสริมแต่ง ปรงุรส ขยายความ เพิ่ม ลด เน้น ผ่อน ชักนำ จัดหาองค์ประกอบอื่นเข้ามาเสริม
สิ่งที่เป็นความรู้ จึงถูกนำมาเล่าขาน อย่างมีอรรถรส สร้างอารมณ์ตื่นเต้น สนุกสนาน สุข เศร้า สะเทือนอารมณ์
อันที่จริงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นที่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน มีเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์กายภาพ ธรณีวิทยา เทคโนโลยี นวัตกรรม ที่สามารถนำมาเรียนรู้ ให้เกิดประโยชน์ในวันข้างหน้าได้อย่างมีคุณค่ามหาศาล เช่น หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการช่วยชีวิตมนุษย์จากสถานการณ์วิกฤติ
แต่บริบททางสังคมและวัฒนธรรม สอนให้เราประนีประนอม หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหา หลีกเลี่ยงการศึกษาปัญหาที่สาเหตุ ใช้วิธีการเบี่ยงเบนความสนใจ ใช้เสียงคนส่วนใหญ่ที่ปรากฏในสื่อมวลชนเป็นฐานสนับสนุน ใช้ความหวังดีเป็นเกราะกำบัง
ทำให้เราจำยอม "ปิดปาก" ตนเองให้เงียบ ไม่กล้าพูดถึงความจริงที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นความจริงในมิติของความรู้ แม้จะเป็นมิติที่สร้างสรรค์ แม้จะเป็นมิติที่ก่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ก็ไม่อาจพูดถึงมันได้
แต่ในบางสังคมที่เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ สิ่งนี้จะถูกนำมาศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำความเข้าใจระบบความเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ (causality) ศึกษาสาเหตุ-ผล เพื่อค้นพบความรู้ใหม่ หรือทบทวนความรู้เก่า
เพื่อนำความรู้นั้นมาเผยแพร่ ให้การศึกษา สร้างความเข้าใจแก่ประชาชน เพื่อความตระหนัก เพื่อความเข้าใจ เพื่อการแก้ไขปัญหาของตนเองได้
แต่เพราะสังคมไทยมีความถนัดในวิชา "ฤาษีแปลงสาร" ใช้กลวิธีแก้ปัญหาทางอ้อม หลีกเลี่ยงที่จะพูดความจริง ปล่อยให้สถานการณ์คลี่คลายไปในตัวของมันเอง
เราจึงถูกจำกัดพื้นที่ในการคิด การคุย การอภิปราย การทำความเข้าใจ ข้อเท็จจริง ความจริง สาเหตุ-ผล ของสิ่งที่เกิดขึ้น
ทำให้เราถูกจำกัดที่จะเรียนรู้เพื่ออธิบาย (explain) เพื่อทำนาย (predict) เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
13 กรกฎาคม 2561 11.59 น.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น