ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

นวัตกรรม ตอนที่ 2 การสร้างนวัตกรรม

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการสร้างนวัตกรรม

ปัจจัยที่ทำให้องค์กรเกิดการสร้างนวัตกรรมมีหลายปัจจัย ปัจจัยที่เป็นแรงกระตุ้นและก่อให้เกิดความต้องการให้องค์กรต้องมีการเรียนรู้และมีการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องมีหลายปัจจัย ปัจจัยเหล่านี้ได้เป็นแรงขับให้องค์กรสร้างกระบวนการเรียนรู้และสร้างนวัตกรรมดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นแรงขับและท้าทายให้องค์กรสร้างความคิดใหม่  (new idea) สร้างเป้าหมายใหม่ (new goals) ขององค์กรขึ้นมา ส่วนใหญ่แล้วการสร้างความคิดใหม่และการสร้างนวัตกรรมใหม่ มักจะมุ่งตอบสนองเป้าหมายในการสร้างความเติบโต ในการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ ปัจจัยที่เป็นแรงขับให้เกิดการสร้างนวัตกรรมแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (O’Sullivan and Dooley, 2009 pp.12-14)
          1. การอุบัติขึ้นของเทคโนโลยี (Emerging technologies)
          2. ความเคลื่อนไหวของคู่แข่งขัน (Competitor actions)
          3. ความคิดใหม่ที่ได้จากลูกค้า หุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ และพนักงาน (New ideas from Strategic partners, and Employees)
          4. การอุบัติขึ้นของการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์กร (Emerging changes in the external environment)

          การอุบัติขึ้นของเทคโนโลยี (Emerging technologies) เทคโนโลยีเป็นปัจจัยที่มีศักยภาพมากที่สุดในการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดความคิดใหม่ เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ ทั้งนวัตกรรมเชิงผลิตภัณฑ์ (innovative products) นวัตกรรมการบริการ (innovative services) นวัตกรรมเชิงกระบวนการ (innovative process) นวัตกรรมเชิงกลยุทธ์ (innovative strategy) แต่เดิมมาการสร้างนวัตกรรมมักเกิดขึ้นในห้องทดลองเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้การสร้างนวัตกรรมทำได้ทุกที่ ทุกคน ทุกกลุ่มบุคคล ทุกองค์กร แหล่งของการสร้างนวัตกรรม เช่น มหาวิทยาลัย นักวิจัย กลุ่มนักศึกษา สตาร์ทอัพ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญการใช้เทคโนโลยี 
          ความเคลื่อนไหวของคู่แข่งขัน (Competitor actions) ความเคลื่อนไหวด้านการสร้างนวัตกรรมของคู่แข่งขันเป็นแรงกดดันให้องค์กรต้องเรียนรู้ ปรับตัว กลายเป็นคู่เทียบในการพัฒนา (benchmark) ทั้งการทำโครงการ การสร้างการริเริ่ม บางองค์กรใช้วิธีการเลียนแบบคู่แข่งขันเพื่อลดความเสี่ยง บางองค์กรใช้วิธีการเป็นผู้นำตลาดในการสร้างนวัตกรรมใหม่
          ความคิดใหม่ที่ได้จากลูกค้า หุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ และพนักงาน (New ideas from Strategic partners, and Employees) ในอดีตที่ผ่านมา นวัตกรรมจะถูกพัฒนามาจากความคิดของนักออกแบบและวิศวกรในองค์กรเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันความซับซ้อนของเทคโนโลยี การแบ่งส่วนตลาดออกไปหลากหลาย ความเป็นองค์กรสมัยใหม่ กลายเป็นสิ่งที่สร้างความรู้สึกผูกพันให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียกับองค์กรให้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างนวัตกรรม ช่วยทำให้องค์กรสำรวจข้อมูลข่าวสารได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มศักยภาพ (capabilities) ในการเข้าใจความต้องการของตลาด ความรู้สึกผูกพันของพนักงาน ซับพลายเออร์ ลูกค้า และบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและองค์กร ได้กลายมาเป็นปัจจัยสร้างโอกาสในการสร้างและพัฒนานวัตกรรมขององค์กร ในการให้ข้อมูล การให้คำแนะนำ การสร้างความร่วมมือ ในการสร้างนวัตกรรม ลูกค้าในความหมายดังกล่าวข้างต้นนี้ หมายรวมถึงประชาชนที่เป็นผู้รับบริการ ประชาชนที่เป็นผู้ได้รับผลจาการปฏิบัติงานของรัฐบาล องค์กรทางการเมือง พรรคการเมือง นักการเมือง และสื่อ/สื่อมวลชน
          การอุบัติขึ้นของการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์กร (Emerging changes in the external environment) สิ่งแวดล้อมภายนอกองค์กรมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง และเป็นแรงขับให้เกิดการสร้างนวัตกรรม สิ่งแวดล้อมภายนอกองค์กรเกิดจากความเคลื่อนไหวของคู่แข่งขันที่มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ รวมทั้งเกิดจากการสิ่งแวดล้อมของสภาพเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง องค์กรจำเป็นต้องต่อสู่ฝ่าฟันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจใหม่ของตนเองขึ้นมา องค์กรจึงจำเป็นต้องสร้างนวัตกรรมให้กับผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการขององค์กร

หลักการพื้นฐานในการสร้างนวัตกรรม
การสร้างนวัตกรรมมีหลักการพื้นฐาน ดังต่อไปนี้ (West, 1992: 204 อ้างถึงใน ณัฐฐ์วัฒน์  สุทธิโยธิน https://nattawatt.blogspot.com/)
1. การสร้างนวัตกรรม นวัตกรรมที่สร้างต้องสอดคล้องต้องกันอย่างมากที่สุดระหว่างองค์กรและตำแหน่งทางการตลาด
2. การสร้างนวัตกรรมนั้นต้องสอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร
3. การสร้างนวัตกรรมนั้นต้องสอดคล้องกับการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารขององค์กร
4. การสร้างนวัตกรรมนั้นต้องมีการกำหนดทิศทางอย่างเป็นรูปธรรมชองกฎเกณฑ์ด้านสมรรถนะของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ในขั้นตอนเริ่มแรกลงมือสร้างนวัตกรรม
5. การสร้างนวัตกรรมนั้นต้องมีวิธีการที่เหมาะสมในการทดสอบความต้องการของตลาดที่มีต่อผลิตภัณฑ์นั้น
6. การสร้างนวัตกรรมที่เป็นผลิตภัณฑ์นั้นต้องคำนึงถึงหลักการว่า ผู้สร้างนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จจะต้องสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมนั้น ให้เป็นสิ่งที่เป็นผลรวมของ คุณประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ (customer benefits) ทั้งเชิงเทคนิคและไม่ใช่เชิงเทคนิค รวมทั้งด้านทัศนคติของลูกค้าอีกด้วย
7. การสร้างนวัตกรรม นวัตกรรมที่สร้างต้องสอดคล้องกับเป้าหมายของการสร้างนวัตกรรมขององค์กร เป้าหมายของการสร้างนวัตกรรมขององค์กรเป็นสิ่งที่กำหนดว่าองค์กรต้องการบรรลุผลสำเร็จในเรื่องอะไร ซึ่งโดยหลักการแล้วการสร้างนวัตกรรมขึ้นมานั้นต้องสอดคล้องกับเป้าหมายดังนี้คือ
7.1 เพื่อสร้างการเจริญเติบโต (Growth)
          7.2 เพื่อสร้างผลกำไร (Profit)
          7.3 เพื่อความอยู่รอดขององค์กรและธุรกิจ (Survival)

หลักการเฉพาะในการสร้างนวัตกรรม
การสร้างนวัตกรรมมีหลักการเฉพาะที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ (West, 1992: 204 อ้างถึงใน ณัฐฐ์วัฒน์  สุทธิโยธิน https://nattawatt.blogspot.com/)
1. คิดเชิงกลยุทธ์ (Think strategic) การสร้างนวัตกรรมต้องเป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ที่ต้องมีการวิเคราะห์และประเมินระหว่างความต้องการของตลาดกับทรัพยากรขององค์กร ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมไปตามการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การสร้างนวัตกรรมผู้บริหารธุรกิจและผู้บริหารองค์กรจึงต้องหาวิธีการสร้างความลงตัวระหว่างทรัพยากรขององค์กรกับความต้องการของตลาด เพื่อสร้างกลยุทธ์ในการแข่งขันและการพัฒนาเพื่อสร้างความเจริญเติบโตขององค์กร สิ่งสำคัญคือ องค์กรจะต้องคิดเชิงกลยุทธ์ ในการบริหารจัดการปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อให้องค์กรเป็นผู้ควบคุมสภาพแวดล้อมและการแข่งขัน มากกว่าที่จะปล่อยให้มันควบคุมองค์กร
สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ “จงลงมือควบคุมการเดินทางไปสู่สุดหมายปลายทางขององค์กรตัวเอง หากคุณไม่ควบคุมมัน จะมีบางคนเข้ามาควบคุมแทน”
2. คิดต่าง (Think different) ไม่มีองค์กรใดสร้างความสำเร็จได้จากการเลียนแบบคู่แข่งขัน การสร้างนวัตกรรมต้องไม่ใช่แค่การผลิตสินค้าหรือบริการที่ดีเยี่ยมเท่านั้น แต่ผู้บริหารและทีมงานสร้างนวัตกรรมต้องคิดทำในสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่
วิธีการคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมตามที่ เดอร์ โบโน (De Bono) อธิบายไว้คือ การคิดของมนุษย์ 3 ขั้นตอน ได้แก่ (West, 1992: 205)
1) ขั้นตอนที่หนึ่ง การคิดเพื่อสร้างความเข้าใจ (understanding) โดยการใช้การตั้งทำถามว่า “ทำไม” (Why) อันเป็นสิ่งที่โบโนเรียกว่า ระยะทำไม (Why phase)
2) ขั้นตอนที่สอง การคิดเพื่อค้นหาวิธีการแก้ปัญหา (problem solving) เมื่อได้เข้าใจแล้วว่าทำไมจึงเป็นแบบนั้น ขั้นต่อมาคือการพยายามประยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้ไปแก้ไขปัญหา โดยการใช้การตั้งทำถามว่า “ทำไม” (Why not) อันเป็นสิ่งที่โบโนเรียกว่า ระยะทำไมไม่ (Why not phase)
3) ขั้นตอนที่สอง การเกิดความรู้เชิงปัญญา (wisdom) เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะอย่างหนึ่ง เป็นการคิดที่ทำให้มนุษย์ค้นพบวิธีการแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ (possible solutions) อันเป็นสิ่งที่โบโนเรียกว่า ระยะเพราะว่า (Because phase)
การคิดเพื่อสร้างนวัตกรรม องค์กรจะต้องไม่คิดไหลไปตามกระแส ไม่คิดไหลไปตามฝูงชนที่พากันแห่ไปในทิศทางเดียวกัน แต่ควรจะต้องคิดในทิศทางที่แตกต่างจากกระแส และนำเสนอสิ่งใหม่แก่ตลาด องค์กรจะต้องมุ่งเน้นแนวคิดและบทบาทของการเป็นผู้ประกอบการ (entrepreneurism) มากกว่าการเป็นเพียงผู้ตอบสนอง (reaction)
สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ “การสร้างความประหลาดใจ (surprise) คือ ปัจจัยสำคัญในการสร้างการโจมตีตลาดที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุด”
3. คิดถึงคุณประโยชน์ของลูกค้า (Think customer benefit) นักออกแบบนวัตกรรมต้องคิดว่า อะไรคือสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ (wants) อะไรคือคุณประโยชน์ที่แท้จริงที่องค์กรสามารถเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่หรือบริการใหม่ให้แก่ลูกค้า คุณประโยชน์ที่องค์กรจะนำเสนอนั้นสามารถก่อให้เกิดประสิทธิผลแก่ลูกค้าจริงหรือไม่ องค์กรสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มที่แท้จริงให้กับผลิตภัณฑ์นั้นจริงหรือไม่ ลูกค้าสามารถรับรู้ถึงคุณค่าใหม่ที่สร้างขึ้นนี้หรือไม่ ต้องมีการนิยามความต้องการของลูกค้าในทุกมิติเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ประเด็นทางเทคนิค การสนับสนุน การบริการ ราคา
สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ “มีเพียงลูกค้าเท่านั้นที่เป็นคนจ่ายค่าจ้างให้กับคุณ”
4. คิดถึงรายละเอียด (Think customer benefit) การใส่รายละเอียดลงในแผนงานเป็นหลักสำคัญของการสร้างนวัตกรรมที่มีประสิทธิผล องค์กรจะต้องแปลงคุณประโยชน์ที่ลูกค้าต้องการ ให้กลายเป็นแนวคิดของนวัตกรรม (innovative concept) ที่มีประสิทธิผล ต้องนิยามองค์ประกอบแต่ละส่วนในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ลูกค้า ต้องแสดงศักยภาพเชิงการทดลองในระดับสูง ต้องมีการคิดถึงกระแสเงินสดและต้นทุนที่จะใช้จ่าย ผู้ออกแบบและผู้บริหารจัดการนวัตกรรมต้องพยายามจำกัดความไม่แน่ใจในความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในกระบวนการสร้างนวัตกรรม โดยสร้างต้นแบบที่เฉพาะเจาะจงขึ้นมาก่อน เพื่อทดสอบทางวิศวกรรม เพื่อประเมินปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดหมาย และเพื่อหาทางแก้ไขไว้ล่วงหน้า
สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ “การเดินทางที่รวดเร็วที่สุด เป็นผลมาจากการที่เรารู้เส้นทาง และรายละเอียดของการเดินทางมากที่สุด”
5. คิดถึงสภาพภายใน (Think internal) การสร้างนวัตกรรมเป็นเรื่องยากและซับซ้อนแต่เป็นเรื่องที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จมากที่สุด องค์กรและพนักงานในองค์กรจะต้องใช้ความพากเพียรวิริยะอุตสาหะในการทำงาน พยายามสร้างเสริมจุดแข็งที่มีอยู่ในองค์กร การเน้นปัจจัยภายในองค์กรจะช่วยป้องกันการเกิดความสูญเสียที่เป็นบทเรียนราคาแพง อันเกิดจากความผิดพลาดในการสร้างผลิตภัณฑ์ ลูกค้า เทคโนโลยี ตลาด ในส่วนที่คนในองค์กรไม่มีความเข้าใจเพียงพอ การให้ความสนใจจริงจังกับทรัพยากรภายในองค์กรอันเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารจัดการผลักดันให้เกิดการสร้างนวัตกรรม การประเมินสถานการณ์ การคาดการณ์วัตถุประสงค์ การวางการลงทุนให้ตรงจุดว่าควรจะลงทุนในจุดใดจึงจะเหมาะสม ควรมองถึงผลต่อการขายสินค้าได้ในระยะยางมากกว่าระยะสั้น มองไปที่ความเติบโตขององค์กรโดยการสร้างมูลค่าเพิ่ม สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ “ถ้าคุณไม่มีข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน อย่าคิดไปแข่งขัน”
6. คิดเชิงความรู้ (Think knowledge) การคิดเพื่อสร้างนวัตกรรม องค์กรจะต้องมีความฉลาดรอบรู้ในการสร้างความรู้ การหาความรู้ และการใช้ความรู้ ความรู้ที่สร้างสมขึ้นมาในองค์กร ความรู้ในตัวของพนักงาน จะต้องถูกนำมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลติภัณฑ์หรือบริการขององค์กร สร้างแรงจูงใจในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง สร้างสามารถเชิงการแข่งขัน สร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันขององค์กร องค์กรควรเน้นการพัฒนาความรู้ในองค์กร โดยตัดสินใจว่าข้อมูลข่าวสารแบบใดเป็นสิ่งที่เอื้อต่อการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ก่อให้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ และข้อมูลข่าวสารนั้นช่วยสร้างบรรยากาศภายในองค์กรให้เกิดความกระหายใคร่รู้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดความรู้แต่ละด้านในระดับสูงสุด สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นจาก การคัดเลือกพนักงาน การใช้ข้อมูลข่าวสาร การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การฝึกอบรม การสร้างแรงจูงใจ
สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ “ความรู้ โดยตัวของมันเองคืออำนาจ” (Knowledge itself is power)
7. คิดถึงพนักงาน (Think people) บริษัทที่ได้ชัยชนะจะพยายามใช้ความรู้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้ามากกว่าการแข่งขัน ความรู้เป็นองค์ประกอบที่ช่วยให้พนักงานกลายเป็นปัจจัยการแข่งขันด้านการพัฒนาในอนาคต การยึดกุมพนักงานและครองใจพนักงานที่มีศักยภาพ ทำให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล การสร้างความกระตือรือร้นในการสร้างนวัตกรรม
สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ “การต่อสู้ส่วนใหญ่ เป็นการเอาชนะในห้วงความคิดของพนักงานเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำ และมันเป็นปัจจัยเดียวที่จะทำให้สินค้าอยู่ได้ในตลาด”
8. คิดทำให้เป็นขนาดเล็ก (Think thin) การคิดเพื่อสร้างนวัตกรรมต้องอาศัยความรู้เพิ่มขึ้น มีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น ต้องเร็วขึ้นและเร็วกว่าคู่แข่งขัน สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าใจลูกค้า ผลิตมูลค่าเพิ่มที่เหนือกว่า จะทำให้องค์กรสามารถเป็นผู้นำในตลาด การประชุม การพบปะกลายเป็นเรื่องสำคัญที่องค์กรต้องยอมจ่าย ยอมจัดให้มีความสะดวกสบาย ต้องมีบรรยากาศที่ดี เพราะเป็นที่สร้างนวัตกรรม องค์กรต้องเข้าใกล้ชิดตลาดให้มากขึ้น ต้องมีการแบ่งปันความรู้ แบ่งปันข้อมูลข่าวสาร ต้องมุ่งเน้นการลงมือปฏิบัติมากกว่าการเฝ้าดูผลสะท้อนกลับ สิ่งเหล่านี้จะทำให้องค์กรเป็นผู้นำด้านวัตกรรม

สิ่งที่องค์กรและพนักงานจะต้องระลึกไว้เสมอคือ “องค์กรขนาดเล็ก เป็นองค์กรที่เรียบง่าย และองค์กรที่เรียบง่ายจะใช้เวลาน้อยกว่าในการบำรุงรักษาองค์กรเอาไว้ และช่วยให้การทำภารกิจประสบความสำเร็จ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย

การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย รองศาสตราจารย์ ดร.ณัฐฐ์วัฒน์  สุทธิโยธิน 9 มิถุนายน 2559             การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย เป็นขั้นตอนที่สำคัญของการสร้างเครื่องมือวิจัยให้มีคุณภาพ สามารถนำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อวัดตัวแปรได้ถูกต้อง แม่นยำ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ มีความเชื่อถือได้ ซึ่งผู้วิจัยควรดำเนินการตามลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. การตรวจสอบเครื่องมือวิจัยเบื้องต้น             การตรวจเครื่องมือวิจัย สอบเบื้องต้น มีสิ่งสำคัญที่ผู้วิจัยต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้             1.1 การตรวจสอบเชิงโครงสร้างของเครื่องมือวิจัย ผู้วิจัยต้องตรวจสอบว่า เครื่องมือวิจัยที่ตนเองสร้างขึ้นมานั้น มีความครอบคลุม มีความครบถ้วน ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยทุกข้อหรือไม่ ถ้ายังไม่ครบต้องดำเนินการสร้างเครื่องมือวัดให้ครบ             1.2 การตรวจสอบเชิงแนวคิด ผ...

ทฤษฎีเกี่ยวกับจิตสำนึก (Consciousness) การสร้างจิตสำนึก และการปลูกฝังจิตสำนึก

ทฤษฎีเกี่ยวกับจิตสำนึก (Consciousness) การสร้างจิตสำนึก และการปลูกฝังจิตสำนึก ........................................................................................................................................ จิตสำนึกคืออะไร? สร้างอย่างไร? ปลูกฝังอย่างไร? ความหมายของจิตสำนึก จิตสำนึก (Consciousness) หมายถึง ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึกตระหนัก และการให้ความสำคัญ ต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในระบบความคิดและจิตใจของมนุษย์ ลักษณะของจิตสำนึก จิตสำนึกเป็นสภาวะที่ผสมผสานกันระหว่าง ความรู้ความเข้าใจ ความคิด และความรู้สึก การเกิดจิตสำนึก จิตสำนึก (Consciousness) เกิดจากการรับรู้ การเรียนรู้ การประเมินค่า จากสิ่งเร้าต่าง ๆ ประสบการณ์ จนเกิดเป็นความตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนั้น สิ่งเร้าที่มนุษย์รับรู้ เรียนรู้ จนพัฒนามาเป็นจิตสำนึก ประกอบด้วยข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ อารมณ์ สภาพสังคม และวัฒนธรรม ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดจิตสำนึก 1. การรับรู้ 2. ทัศนคติ 3. ประสบการณ์ 4. ระยะเวลาในการรับรู้ ความถี่ ความต่อเนื่อง ผลของ...

นวัตกรรม ตอนที่ 4 กระบวนการสร้างนวัตกรรม

บทนำ การสร้างนวัตกรรมมีลักษณะเป็นกระบวนการ กระบวนการสร้างนวัตกรรมเป็นการสร้างการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการหลัก 4 กระบวนการ คือ           1. กระบวนการสร้างความคิด (Idea generation)           2. กระบวนการสร้างโอกาส (Opportunity recognition)           3. กระบวนการพัฒนา (Development)           4. กระบวนการทำให้เป็นจริง (Realization)             การสร้างนวัตกรรมเป็นเรื่องที่องค์กรจะต้องมีวิสัยทัศน์ มีเป้าหมาย และมีกลยุทธ์ในการดำเนินการ การสร้างนวัตกรรมมีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้นมา ในการนำเสนอเนื้อหาตอนนี้ที่ว่าด้วยกระบวนการสร้างนวัตกรรม จะได้กล่าวถึงเป้าหมายของการสร้างนวัตกรรม การเปลี่ยนแปลงกับการสร้างนวัตกรรม และกระบวนการสร้างนวัตกรรม เป้าหมายของการสร้างนวัตกรรม การสร้างนวัตกรรมมีเป้าหมาย...