ลักษณะการทำผิดจริยธรรมของสื่อมวลชน
(บทความนี้อ้างอิงมาจากงานเขียนเรื่อง "จริยธรรมสื่อสารมวลชน" ในปี พ.ศ. 2547 โดย ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน )
(บทความนี้อ้างอิงมาจากงานเขียนเรื่อง "จริยธรรมสื่อสารมวลชน" ในปี พ.ศ. 2547 โดย ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน )
การทำงานของสื่อมวลชน เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหาข้อมูลข่าวสาร การนำข่าวสารมาเผยแพร่และรายงานให้ประชาชนทั่วไปทราบ
นอกจากนี้สื่อมวลชนยังทำหน้าที่ในการสอดส่องดูแล และ "ตรวจสอบความจริง" ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ตลอดจนการตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยงานใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณะ
การดำเนินงานของสื่อมวลชนในบางครั้งอาจไปกระทบกระเทือน รุกล้ำต่อสิทธิของบุคคลอื่นได้ ทั้งโดยรู้ตัวและโดยไม่รู้ตัว ในบางครั้งแม้สื่อมวลชนจะมีความปรารถนาดีต่อสังคมส่วนรวม แต่ความปรารถนาดีนั้นก็หาได้มีสิทธิพิเศษที่จะสร้างความกระทบกระเทือนต่อบุคคลอื่น
การกระทำของสื่อมวลชนบางเรื่องมีกฎหมายห้ามไว้อย่างชัดแจ้งว่าจะกระทำมิได้ แต่ในบางเรื่องกฎหมายมิได้เขียนห้ามไว้ แต่สื่อมวลชนยังต้องคำนึงถึงหลักว่าด้วยคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของสื่อมวลชน ที่สมาคมผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน และสังคมช่วยกันกำหนดกฏเกณฑ์ขึ้นมา เพื่อใช้ในการกำกับดูแลการทำงานของสื่อมวลชน ซึ่งถือว่าเป็น การควบคุมกันเองของสื่อมวลชน (Self Regulation)
ถึงแม้มิได้มีกฏเกณฑ์ปรากฏชัดแจ้งเป็นเอกสาร แต่สื่อมวลชนก็ยังมี "ความรับผิดชอบในตัวเอง" (Self responsibility) และต้องมี "มโนธรรมสำนึก" (Conscience) ที่จะไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการฝ่าฝืนต่อหลักคุณธรรม หลักจริยธรรม และหลักมโนธรรม ที่สื่อมวลชนพึงจะมีในฐานะหน้าที่ของตน
ลักษณะการกระทำผิดจริยธรรมของสื่อมวลชน ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ จนได้ข้อสรุปว่า หากสื่อมวลชนมีการกระทำเช่นว่านี้ อาจถือได้ว่าเข้าข่ายการการทำผิดหลักจริยธรรมสื่อสารมวลชน และจริยธรรมในวิชาชีพนิเทศศาสตร์
นอกจากนี้สื่อมวลชนยังทำหน้าที่ในการสอดส่องดูแล และ "ตรวจสอบความจริง" ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ตลอดจนการตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยงานใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณะ
การดำเนินงานของสื่อมวลชนในบางครั้งอาจไปกระทบกระเทือน รุกล้ำต่อสิทธิของบุคคลอื่นได้ ทั้งโดยรู้ตัวและโดยไม่รู้ตัว ในบางครั้งแม้สื่อมวลชนจะมีความปรารถนาดีต่อสังคมส่วนรวม แต่ความปรารถนาดีนั้นก็หาได้มีสิทธิพิเศษที่จะสร้างความกระทบกระเทือนต่อบุคคลอื่น
การกระทำของสื่อมวลชนบางเรื่องมีกฎหมายห้ามไว้อย่างชัดแจ้งว่าจะกระทำมิได้ แต่ในบางเรื่องกฎหมายมิได้เขียนห้ามไว้ แต่สื่อมวลชนยังต้องคำนึงถึงหลักว่าด้วยคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของสื่อมวลชน ที่สมาคมผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน และสังคมช่วยกันกำหนดกฏเกณฑ์ขึ้นมา เพื่อใช้ในการกำกับดูแลการทำงานของสื่อมวลชน ซึ่งถือว่าเป็น การควบคุมกันเองของสื่อมวลชน (Self Regulation)
ถึงแม้มิได้มีกฏเกณฑ์ปรากฏชัดแจ้งเป็นเอกสาร แต่สื่อมวลชนก็ยังมี "ความรับผิดชอบในตัวเอง" (Self responsibility) และต้องมี "มโนธรรมสำนึก" (Conscience) ที่จะไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการฝ่าฝืนต่อหลักคุณธรรม หลักจริยธรรม และหลักมโนธรรม ที่สื่อมวลชนพึงจะมีในฐานะหน้าที่ของตน
ลักษณะการกระทำผิดจริยธรรมของสื่อมวลชน ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ จนได้ข้อสรุปว่า หากสื่อมวลชนมีการกระทำเช่นว่านี้ อาจถือได้ว่าเข้าข่ายการการทำผิดหลักจริยธรรมสื่อสารมวลชน และจริยธรรมในวิชาชีพนิเทศศาสตร์
อนึ่ง คำว่า สื่อมวลชน ในที่นี้หมายถึง บุคคลผู้ประกอบวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชน และวิชาชีพด้านนิเทศศาสตร์ อาจทำผิดจริยธรรมได้หลายลักษณะดังต่อไปนี้
5.1
การโกหกและการหลอกลวง
การโกหกและการหลอกลวง (Lying and Deception) ของสื่อมวลชนอาจเกิดขึ้นได้หากสื่อมวลชนขาดจริยธรรม
สื่อมวลชนอาจเสนอข่าวที่ไม่เป็นจริงต่อประชาชนและสังคม
เนื่องจากสภาพการแข่งขันทางธุรกิจ การเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนของสื่อมวลชนแขนงนั้น
หรือจากการเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนของบุคคลผู้ปฏิบัติงานในสื่อมวลชนแขนงนั้น
5.2 การเสแสร้ง
สื่อมวลชนอาจมีการเสแสร้ง (Fake it) ทำเหมือนไม่รู้ความจริง
แต่อันที่จริงรู้ความจริงดี และนำเสนอข่าวสารเรื่องราวไปทั้งๆ ที่รู้
แต่เนื่องจากข่าวสารนั้นประชาชนกำลังให้ความสนใจติดตาม
หรือเป็นข่าวที่ขายได้และขายดี
5.3 การบิดเบือน
การบิดเบือน (Distort) ของสื่อมวลชน
ต่างกับการโกหกและหลอกลวง ซึ่งไม่มีความจริงอยู่เลย
แต่สำหรับการบิดเบือนมีความจริงอยู่
แต่มีการแต่งเติมความจริงนั้นให้ผิดเพี้ยนไปจากความจริงดั้งเดิม
5.4
การนำเสนอความจริงครึ่งเดียว
การนำเสนอความจริงครึ่งเดียว (Half truth) เป็นกรณีที่สื่อมวลชนรู้ความจริงทั้งหมด
หรือรู้ความจริงสองด้าน (both side) แต่สื่อมวลชนเลือกที่จะเสนอความจริงเพียงด้านเดียว
อาจเพื่อผลประโยชน์บางประการของสื่อมวลชน
หรือของบุคคลผู้ปฏิบัติงานในสื่อมวลชนนั้น
5.5
การสร้างเหตุการณ์เทียม
เหตุการณ์เทียม (Pseudo event) หมายถึง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีความเสมือนจริง ไม่เท็จแต่ไม่จริง
บางครั้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างความจริงกับความไม่จริง
บางครั้งมีสภาพที่ไม่ชัดเจนหรือเบลอๆ
ตัวอย่างเช่น ในรายการเกมโชว์ทางโทรทัศน์ ผู้ผลิตรายการต้องการให้รายการสนุกสนาน มีบรรยากาศเหมือนการแข่งขันต่อหน้าประชาชนผู้ชมจริงๆ จึงได้นำประชาชนจำนวนหนึ่งมาส่งเสียงเชียร์ในห้องถ่ายทำรายการ เสมือนว่ามีผู้ชมจริงๆ จากทางบ้านมานั่งชมรายการ จะสังเกตได้ว่ามีความจริงอยู่ก็คือ มีประชาชนมานั่งชมจริงๆ ไม่ใช่พนักงานของบริษัทผู้ผลิตรายการ มีการส่งเสียงเชียร์จริงๆ ไม่ใช่เสียงเชียร์พนักงานของบริษัทผู้ผลิตรายการเอง แต่ประชาชนมานั่งชมรายการเกือบทุกครั้งจะเป็นคนชุดเดิม มีการจ่ายค่าตอบแทนเป็นรางวัลจูงใจ เสียงเชียร์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการกำกับควบคุมให้สัญญาณโดยพนักงานของบริษัทผู้ผลิตรายการ
จึงเป็นประเด็นปัญหาว่าการสร้างความจริงเทียม อันเกิดจากเหตุการณ์เทียมนี้ น่าจะเข้าข่ายผิดจริยธรรมด้วยหรือไม่
ตัวอย่างเช่น ในรายการเกมโชว์ทางโทรทัศน์ ผู้ผลิตรายการต้องการให้รายการสนุกสนาน มีบรรยากาศเหมือนการแข่งขันต่อหน้าประชาชนผู้ชมจริงๆ จึงได้นำประชาชนจำนวนหนึ่งมาส่งเสียงเชียร์ในห้องถ่ายทำรายการ เสมือนว่ามีผู้ชมจริงๆ จากทางบ้านมานั่งชมรายการ จะสังเกตได้ว่ามีความจริงอยู่ก็คือ มีประชาชนมานั่งชมจริงๆ ไม่ใช่พนักงานของบริษัทผู้ผลิตรายการ มีการส่งเสียงเชียร์จริงๆ ไม่ใช่เสียงเชียร์พนักงานของบริษัทผู้ผลิตรายการเอง แต่ประชาชนมานั่งชมรายการเกือบทุกครั้งจะเป็นคนชุดเดิม มีการจ่ายค่าตอบแทนเป็นรางวัลจูงใจ เสียงเชียร์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการกำกับควบคุมให้สัญญาณโดยพนักงานของบริษัทผู้ผลิตรายการ
จึงเป็นประเด็นปัญหาว่าการสร้างความจริงเทียม อันเกิดจากเหตุการณ์เทียมนี้ น่าจะเข้าข่ายผิดจริยธรรมด้วยหรือไม่
5.6
การละเมิดสิทธิส่วนตัวบุคคลอื่น
การละเมิดสิทธิส่วนตัวบุคคลอื่น
(Privacy Right) สื่อมวลชนทำหน้าที่ตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์
ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ต้องมีขีดจำกัดมิให้ไปล่วงละเมิดชีวิตส่วนตัวของบุคคลอื่นเกินความจำเป็น
บุคคลทุกคนต่างมีสิทธิตามธรรมชาติและมีสิทธิตามกฎหมาย ดังเช่น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 25550 มาตรา 35
มาตรา 35 สิทธิของบุคคลในครอบครัว
เกียรติยศ ชื่อเสียง ตลอดจนความเป็นอยู่ส่วนตัว ย่อมได้รับความคุ้มครอง
การที่สื่อมวลชนจะแสวงหาข่าวสารเพื่อนำมารายงานนั้น
ในบางครั้งอาจไปกระทบต่อสิทธิในชีวิตหรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่นได้
ในบางกรณีอาจไปกระทบต่อเกียรติยศ หรือชื่อเสียง และความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่นได้ เช่น ไปกระทบกระเทือนต่อการใช้ชีวิตประจำวันของบุคคล การรุกล้ำความเป็นอยู่ส่วนตัว เช่น การพักผ่อนส่วนตัวกับบุคคลในครอบครัวในช่วงวันหยุด
5.7
การซ้ำเติมผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรม
เหยื่ออาชญากรรม (Victim) เป็นผู้ที่ได้รับความเสียหาย
บาดเจ็บ บอบช้ำ เสียใจทุกข์ทรมานจากการกระทำผิดของอาชญากร
ซึ่งกล่าวได้ว่ามีความทุกข์มากพออยู่แล้ว
แต่บางคราวสื่อมวลชนเองอาจไปซ้ำเติมผู้เสียหายให้ได้รับความทุกข์มากขึ้นอีก เช่น
กรณีเด็กหรือสตรีถูกข่มขืน สื่อมวลชนรายงานข่าวอย่างละเอียด แสดงถึงการกระทำของคนร้ายว่าทำอย่างไรทำให้ผู้เสียหายคิดย้อนถึงการกระทำนั้นอีก
มีการเปิดเผยชื่อที่อยู่ของผู้เสียหายทางอ้อมทำให้คนในสังคมรู้ว่าเป็นใครทำให้เกิดความอับอาย
บางกรณีเหยื่ออาชญากรรมเสียชีวิตไปแล้ว
การรายงานข่าวของสื่อมวลชนอาจไปซ้ำเติมความเสียใจของญาติผู้เสียหาย ไปทำให้ญาติของผู้เสียหายเสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียงได้
5.8 การอคติลำเอียง
การอคติลำเอียง (Bias) เกิดขึ้นจากอคติ 4 ประการ ได้แก่ ฉันทาคติคือความพอใจ โลภะคติคือความโลภ โทสะคติคือความโกรธ
โมหะคติคือความหลง เป็นเหตุให้สื่อมวลชนเลือกที่จะนำเสนอข่าวไปในทิศทางใดทางหนึ่งตามความเชื่อความรู้สึกของตนเอง
โดยปราศจากหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องและความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
5.9 การไม่เที่ยงธรรม
การไม่เที่ยงธรรม (not Impartiality) เกิดจากการที่สื่อมวลชนขาดสติ
ขาดความยั้งคิด ขาดความไตร่ตรอง ขาดการใช้เหตุผลในการตัดสิน ขาดความรู้ในการติดสิน
ทำให้สื่อมวลชนเสนอข่าวหรือความคิดเห็นไปในทางที่ไม่เป็นธรรม ไม่เที่ยงตรง
5.10
การมีผลประโยชน์ทับซ้อน
การมีผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflicts of interest) เกิดจากการที่ผู้ประกอบการสื่อมวลชนเองมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
และส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนตัวอย่างเช่น
สื่อมวลชนแขนงหนึ่งมีหุ้นส่วนในกิจการสถานบันเทิงสำหรับเด็กวัยรุ่น
จึงหลีกเลี่ยงที่จะเสนอข่าวสารการเที่ยวเตร่ของเด็กวัยรุ่น
หลีกเลี่ยงที่จะเสนอข่าวสารความคิดเห็นกระตุ้นการทำงานของตำรวจให้กวดขันจับกุมสถานบริการที่ผิดกฎหมาย
>> ยังมีต่อ-ขอเชิญติดตามอ่านต่อได้ในตอนต่อไป >>
เขียนโดย รองศาสตราจารย์ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน
หมายเหตุ
1. เขียนและเผยแพร่ครั้งแรกในการสอน วิชากฎหมายและจริยธรรมสื่อสารมวลชน
ที่มหาวิทยาลัยบูรพา ปี พ.ศ. 2547
2. นำมาอ้างอิงเผยแพร่ซ้ำในเอกสารการสอนชุดวิชา กฎหมายและจริยธรมสื่อสารมวลชน หน่วยที่ 5 สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ในปี พ.ศ. 2548
3. นำมาอ้างอิงเผยแพร่ซ้ำอีกครั้งในเอกสารการสอนชุดวิชา กฎหมายและจริยธรมสื่อสารมวลชน หน่วยที่ 5 สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ในปี พ.ศ. 2550
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น