เหตุการณ์อุทกภัย เป็นวิกฤติร้ายแรง
เป็นวิกฤติที่เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นปัญหา เป็นความทุกข์ ความเดือดร้อน ความปลอดภัยในชีวิตของมนุษย์
เมื่อมีคนตั้งทฤษฎีขึ้นมาว่า "วิกฤติคือโอกาส"
ผู้คนเชื่อทฤษฎีนี้ และนำทฤษฎีนี้ไปใช้ ตามวัตถุประสงค์ ความมุ่งหมาย ทั้งความมุ่งหมายที่เปิดเผยชัดแจ้งและความุ่งหมายแฝงเร้ย ซึ่งเป็นเจตนาภายในของแต่ละคน ของแต่ละองค์กร
การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทุกภัย จึงมีหลายรูปแบบ
แบบแรก การเสียสละทรัพย์สินเงินทองบริจาคให้ผู้ประสบอุทุกภัยโดยตรง
แบบที่สอง การเสียสละทรัพย์สินเงินทองบริจาคให้ผู้ประสบอุทุกภัยโดยอ้อมผ่านทางคณะบุุคตล องค์กรการกุศล องค์กรรัฐ
แบบที่สาม การสละแรงกายของประชาชนเข้าช่วยเหลือต่อผู้ประสบภัยโดยตรง
แบบที่สี่ การสละแรงกายของประชาชน ให้ความร่วมมือช่วยเหลือทางอ้อม เช่น ไปช่วยบรรจุสิ่งของใส่ถุงยังชีพ
แบบที่ห้า การให้ความช่วยเหลือโดยองค์กรเจ้าของสินค้าผลิตภัณฑ์ต่าง ให้ความช่วยเหลือบริจาคเงินเป็น
แบบที่หก การให้ความช่วยเหลือโดยองค์กรเจ้าของสินค้าผลิตภัณฑ์ต่าง ให้ความช่วยเหลือโดยนำสินค้าของบริษัทตนเองไปบริจาค
แบบที่เจ็ด การให้ความช่วยเหลือโดยองค์กรเจ้าของสินค้าผลิตภัณฑ์ต่างให้ความช่วยเหลือโดยนำพนักงานไปช่วยด้านแรงกาย เช่น ปลูกสร้างที่อยู่อาศัย ทำความสะอาดหลังน้ำลด
แบบที่แปด การให้ความช่วยเหลือโดยองค์กรเจ้าของสินค้าผลิตภัณฑ์ ให้ความช่วยเหลือด้านจิตใจ เช่น น้ำศิลปินดาราในสังกัดไปปลอบขวัญ สร้างกำลังใจ
แบบที่เก้า การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยโดยหน่วยงานภาครัฐ โดยการนำสิ่งของที่จัดซื้อมาจากเงินงบประมาณแผ่นดินมาแจกจ่ายผู้ประสบอุทกภัย
นั่นเป็นการแบ่งตามลักษะพฤติกรรมและการกระทำที่พบเห็น
หากเรามองอีกมิติหนึ่ง..มองจากมุมด้านเจตนา
เราอาจพบความประหลาดใจว่า การใช้ทฤษฎีวิกฤติคือโอกาส ของผู้คนและองค์กรรัฐ บริษัทห้างร้าน มีลักษณะแตกต่างกันตามประเภทต่อไปนี้
ประเภทที่หนึ่ง การให้ความช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีประโยชน์แอบแฝง
ประเภทที่สอง การให้ความช่วยเหลือด้วยความมีเจตนาดี มีความปรารถนาดี แต่มีผลประโยชน์พลอยได้ตามมาด้วย เช่น ได้ชื่อเสียง สร้างภาพลักษณ์ คล้ายกับการทำ CSR
ประเภทที่สาม การให้ความช่วยเหลือด้วยความมีเจตนาดี มีความปรารถนาดี แต่มีผลประโยชน์พลอยได้ค่าหัวคิว ได้ค่าคอมมิสชั่น ได้ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเงิน เป็นทรัพย์สินอย่างอื่น
ประเภทที่สี่ การให้ความช่วยเหลือด้วยเจตนามุ่งหาประโยชน์เป็นที่ตั้ง ตนเอง องค์กร บริษัท ได้ผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง คิดไว้ก่อน วางแผนไว้ก่อนว่าตนเอง องค์กร บริษัท จะได้ผลตอบแทนอะไร คุ้มค่าหรือไม่ หากคุ้มค่าก็จะทำ
แม้จะเป็นการจำแยกโดยอาศัยหลักเจตนา ที่มองไม่เห็นใครจะรู้ว่าเขาคิดอย่างไร จึงจะยืนยันได้ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ
หลักภาษิตกฎหมายและหลักศาสนาสอนไว้ตรงกันว่า
"กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา"
เราจึงสามารถพิจารณาสังเกตพฤติกรรม สังเกตการกระทำของเขาได้ว่าเขาทำโดยมีเจตนาอะไร
ตัวอย่างในการวิเคราะห์
วิเคราะห์จากป้ายแสดงชื่อบุคคลว่ามีขนาดใหญ่เล็กเพียงใด พอเหมาะพอสมกับขนาดและจำนวนคนหรือไม่
วิเคราะห์จากป้ายแสดงชื่อสินค้า ตราสินค้า สโลแกนของสินค้า คำพูดที่พูดถึง พูดถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านหรือพูดถึงสินค้ามากกว่ากัน
วิเคราะห์จากโครงการขนาดเมกกะโปรเจ็กต์เพื่อบริหารจัดการน้ำ..3.5 แสนล้านบาท
วิเคราะห์กระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและมีส่วนได้ส่วนเสีย..ที่เราเห็นกันอยู่..จากลำพูน สู่ชัยนาท
เหตุการณ์อุทกภัย เป็นวิกฤติ..ที่สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
วิเคราะห์กระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและมีส่วนได้ส่วนเสีย..ที่เราเห็นกันอยู่..จากลำพูน สู่ชัยนาท
เหตุการณ์อุทกภัย เป็นวิกฤติ..ที่สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
มีคนดี มีองค์กรดี มีบริษัทดี จำนวนมาก..ที่มีการกระทำและเจตนาดี ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย
แต่ก็ยังมีผู้คน องค์กร และบริษัท จำนวนไม่น้อย ที่ใช้ "ทฤษฎีวิกฤติคือโอกาส" ไปแสวงหาผลประโยชน์ เงิน ทรัพย์สิน ชื่อเสียงจอมปลอม ภาพลักษณ์หลอกลวง..
บนความทุกข์ยากแสนสาหัส บนคราบน้ำตาของประชาชนผู้สบอุทุกภัย
นับตั้งแต่ มหาอุทกภัย ปี พ.ศ.2554 จนถึง ปี พ.ศ. 2556 ก็ยังมีการกระทำในเชิงชั่วร้าย ทั้งแบบโจ่งแจ้ง ทั้งแบบแฝงเร้น ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ
วิกฤติคือ โอกาสดี สำหรับคนดี
วิกฤติคือ โอกาสดี สำหรับคนชั่ว แต่เกิดผลร้ายกับคนดี
รองศาสตราจารย์ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน
21 ตุลาคม 2556
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น