ทฤษฎีไก่ในเข่ง..ไม่ใช่เรื่องใหม่ !!
ทฤษฎีไก่ในเข่ง ที่ นายแพทย์ประเวศ วะสี เสนอขึ้นในปี พ.ศ. 2544 อธิบายว่า ไก่หลายตัวอยู่ในเข่งใบเดียวกันที่ถูกขังรวมกันไว้เพื่อรอเอาไปเชือด บรรดาไก่ต่างทะเลาะเบาะแว้งกัน แย่งกันกินข้าวเปลือก แย่งชิงอาหารที่เขาหยิบยื่นเลี้ยงให้อ้วนพี รอวันนำไปขาย และถูกเชือดตายในที่สุด แม้อิ่มหนำอ้วนพีแล้ว ยังแย่งชิงความเป็นใหญ่ ทะเลาะ จิกตีกันเอง จนบาดเจ็บล้มตายทั้งคู่ และในที่สุดก็ถูกคนเลี้ยงไก่นำไปเชือดตายทั้งหมดทุกตัว
เปรียบเสมือนสังคมไทย ที่ประชาชนทะเลาะกัน แย่งชิงผลประโยชน์กัน ทำร้ายกันเอง เข่นฆ่ากันเอง ผลสุดท้ายก็บาดเจ็บล้มตาย ประเทศชาติเสียหายบอบช้ำ จึงมีข้อเสนอเป็นทางออกของปัญหาว่า ให้ไก่เลิกทะเลาะกัน ให้ไก่หันมาสามัคคีกัน ให้ไก่พร้อมใจกันบินขึ้นสู่อากาศอย่างพร้อมเพรียงกัน ก็จะบินทะลุฝาเข่งหลุดออกมาสู่อิสรภาพได้ นั่นคือให้คนไทยเลิกทะเลาะกัน หันมาสามัคคีกัน หันมาร่วมมือกัน พร้อมใจกันแก้ปัญหา ก็จะสามารถผ่านวิกฤติการณ์ร้ายแรงไปได้
ทฤษฎีและแนวความคิดนี้ไม่ใช่ทฤษฎีใหม่ แต่เป็นทฤษฎีและแนวความคิดที่มีมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2544 ช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ (ผู้ถูกร้อง) กำลังจะเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตร แต่ติดปัญหาเรื่อง ปปช. (ผู้ร้อง) ไต่สวนความผิด ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ..จนในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญ ลงมติให้ฝ่ายผู้ถูกร้องชนะไปเพียงแค่คะแนนเสียงเดียว และได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานั้น
การที่ใครบางคนบางกลุ่ม หยิบยกเอาทฤษฎีไก่ในเข่งมาอธิบายเหตุการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ โดยเปรียบเปรยว่า คนไนไทยทะเลาะกัน คนไทยไม่สามัคคีกัน จะทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหาย ขอให้ยุติทุกสิ่งทุกอย่าง เลิกทะเลาะกัน แล้วหันหน้ามาจับมือกันพัฒนาประเทศดีกว่า
เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า..
เป็นคนละประเด็นกัน..
พฤติการณ์ต่างกัน..
เงื่อนไขแตกต่างกัน..
บริบททางสังคมต่างกัน..
ไม่สามารถนำมาใช้แบบเดียวกันได้
การวิเคราะห์โดยหยิบยกทฤษฎีไก่ในเข่ง หรือทฤษฎีอะไรก็ตามมาอธิบาย
ต้องเข้าใจประเด็น..
ต้องเข้าใจพฤติการณ์แห่งการกระทำ..
ความร้ายแรงแห่งผลของการกระทำ..
ผลกระทบและความเสียหายต่อโครงสร้างสังคมโดยรวม..
จำนวนผู้ได้รับผลกระทบ..
เจตนาของผู้กระทำ..
ความสำนึกผิดในการกระทำ..
ความพยายามในการบรรเทาผลร้ายจากการกระทำ..
การอธิบายอย่างง่ายๆ สรุปอย่างง่ายๆ ที่ขาดหลักคิด ขาดหลักวิเคราะห์ ขาดหลักเหตุผลมารองรับ
ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้..ซ้ำร้ายยังชักชวนให้ผู้อื่น "หลงประเด็น" ตามไปด้วย
นี่เป็น..วิธีการคิดที่อันตราย ยิ่งกว่าไม่คิด !!
"ทางออก"..ตามข้อเสนอของทฤษฎีไก่ในเข่ง
ไม่ใช่อยู่เพียงแค่ "หนี" ออกมาจากเข่งให้ได้ก็พอ
แต่ "ทางออก" ควรจะต้อง..
1. แก้ไขโครงสร้างสังคมให้บังเกิดความถูกต้องตามหลักนิติรัฐและนิติธรรม
2. แก้ไขโครงสร้างสังคมให้บังเกิดความเป็นธรรม (หากไม่เป็นธรรม ผู้คนจะยังคงขัดแย้งกันต่อไป)
3. กระจายอำนาจลงสู่ฐานของประชาชนให้มากที่สุด เพียงเท่าที่รัฐจะรักษาความมั่นคง ความสงลเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของส่วนรวมไว้ได้
4. สร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ (accountability) ในการดำเนินงานทั้งภาครัฐและภาคประชาชน
5. เร่งพัฒนาการศึกษา ให้ประชาชนพลเมืองมีความรู้ มีความเข้าใจ ในเรื่องการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยให้เข้าใจ
6. ส่งเสริมและธำรงรักษาหลัก "คุณธรรม" ให้คงอยู่ในทุกมิติของสังคม
การหนี..อาจทำให้รอดชีวิตได้
แต่ไม่อาจ..ทำให้มีชีวิตที่มีความสุขอย่างยั่งยืน
เพราะ..หากคิดแค่เพียง "หนี"
ก็ต้อง "หนี" ไปตลอดทั้งชีวิต
รศ.ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน
13 พฤศจิกายน 2556
ทฤษฎีไก่ในเข่ง ที่ นายแพทย์ประเวศ วะสี เสนอขึ้นในปี พ.ศ. 2544 อธิบายว่า ไก่หลายตัวอยู่ในเข่งใบเดียวกันที่ถูกขังรวมกันไว้เพื่อรอเอาไปเชือด บรรดาไก่ต่างทะเลาะเบาะแว้งกัน แย่งกันกินข้าวเปลือก แย่งชิงอาหารที่เขาหยิบยื่นเลี้ยงให้อ้วนพี รอวันนำไปขาย และถูกเชือดตายในที่สุด แม้อิ่มหนำอ้วนพีแล้ว ยังแย่งชิงความเป็นใหญ่ ทะเลาะ จิกตีกันเอง จนบาดเจ็บล้มตายทั้งคู่ และในที่สุดก็ถูกคนเลี้ยงไก่นำไปเชือดตายทั้งหมดทุกตัว
เปรียบเสมือนสังคมไทย ที่ประชาชนทะเลาะกัน แย่งชิงผลประโยชน์กัน ทำร้ายกันเอง เข่นฆ่ากันเอง ผลสุดท้ายก็บาดเจ็บล้มตาย ประเทศชาติเสียหายบอบช้ำ จึงมีข้อเสนอเป็นทางออกของปัญหาว่า ให้ไก่เลิกทะเลาะกัน ให้ไก่หันมาสามัคคีกัน ให้ไก่พร้อมใจกันบินขึ้นสู่อากาศอย่างพร้อมเพรียงกัน ก็จะบินทะลุฝาเข่งหลุดออกมาสู่อิสรภาพได้ นั่นคือให้คนไทยเลิกทะเลาะกัน หันมาสามัคคีกัน หันมาร่วมมือกัน พร้อมใจกันแก้ปัญหา ก็จะสามารถผ่านวิกฤติการณ์ร้ายแรงไปได้
ทฤษฎีและแนวความคิดนี้ไม่ใช่ทฤษฎีใหม่ แต่เป็นทฤษฎีและแนวความคิดที่มีมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2544 ช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ (ผู้ถูกร้อง) กำลังจะเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตร แต่ติดปัญหาเรื่อง ปปช. (ผู้ร้อง) ไต่สวนความผิด ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ..จนในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญ ลงมติให้ฝ่ายผู้ถูกร้องชนะไปเพียงแค่คะแนนเสียงเดียว และได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานั้น
การที่ใครบางคนบางกลุ่ม หยิบยกเอาทฤษฎีไก่ในเข่งมาอธิบายเหตุการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ โดยเปรียบเปรยว่า คนไนไทยทะเลาะกัน คนไทยไม่สามัคคีกัน จะทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหาย ขอให้ยุติทุกสิ่งทุกอย่าง เลิกทะเลาะกัน แล้วหันหน้ามาจับมือกันพัฒนาประเทศดีกว่า
เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า..
เป็นคนละประเด็นกัน..
พฤติการณ์ต่างกัน..
เงื่อนไขแตกต่างกัน..
บริบททางสังคมต่างกัน..
ไม่สามารถนำมาใช้แบบเดียวกันได้
การวิเคราะห์โดยหยิบยกทฤษฎีไก่ในเข่ง หรือทฤษฎีอะไรก็ตามมาอธิบาย
ต้องเข้าใจประเด็น..
ต้องเข้าใจพฤติการณ์แห่งการกระทำ..
ความร้ายแรงแห่งผลของการกระทำ..
ผลกระทบและความเสียหายต่อโครงสร้างสังคมโดยรวม..
จำนวนผู้ได้รับผลกระทบ..
เจตนาของผู้กระทำ..
ความสำนึกผิดในการกระทำ..
ความพยายามในการบรรเทาผลร้ายจากการกระทำ..
การอธิบายอย่างง่ายๆ สรุปอย่างง่ายๆ ที่ขาดหลักคิด ขาดหลักวิเคราะห์ ขาดหลักเหตุผลมารองรับ
ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้..ซ้ำร้ายยังชักชวนให้ผู้อื่น "หลงประเด็น" ตามไปด้วย
นี่เป็น..วิธีการคิดที่อันตราย ยิ่งกว่าไม่คิด !!
"ทางออก"..ตามข้อเสนอของทฤษฎีไก่ในเข่ง
ไม่ใช่อยู่เพียงแค่ "หนี" ออกมาจากเข่งให้ได้ก็พอ
แต่ "ทางออก" ควรจะต้อง..
1. แก้ไขโครงสร้างสังคมให้บังเกิดความถูกต้องตามหลักนิติรัฐและนิติธรรม
2. แก้ไขโครงสร้างสังคมให้บังเกิดความเป็นธรรม (หากไม่เป็นธรรม ผู้คนจะยังคงขัดแย้งกันต่อไป)
3. กระจายอำนาจลงสู่ฐานของประชาชนให้มากที่สุด เพียงเท่าที่รัฐจะรักษาความมั่นคง ความสงลเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของส่วนรวมไว้ได้
4. สร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ (accountability) ในการดำเนินงานทั้งภาครัฐและภาคประชาชน
5. เร่งพัฒนาการศึกษา ให้ประชาชนพลเมืองมีความรู้ มีความเข้าใจ ในเรื่องการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยให้เข้าใจ
6. ส่งเสริมและธำรงรักษาหลัก "คุณธรรม" ให้คงอยู่ในทุกมิติของสังคม
การหนี..อาจทำให้รอดชีวิตได้
แต่ไม่อาจ..ทำให้มีชีวิตที่มีความสุขอย่างยั่งยืน
เพราะ..หากคิดแค่เพียง "หนี"
ก็ต้อง "หนี" ไปตลอดทั้งชีวิต
รศ.ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน
13 พฤศจิกายน 2556
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น