ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ความบกพร่องทางความคิดและความกลวงทางสติปัญญา ในการแก้ปัญหาการคอร์รัปชันแบบไทยๆ..การสื่อสารเพื่อปลูกฝังเรื่องการกระทำผิดคิดชั่วใส่หัวสมองเด็กอนุบาล

ความบกพร่องทางความคิดและความกลวงทางสติปัญญา ในการแก้ปัญหาการคอร์รัปชันแบบไทยๆ..การสื่อสารเพื่อปลูกฝังเรื่องการกระทำผิดคิดชั่วใส่หัวสมองเด็กอนุบาล

        การรณรงค์ปลูกฝังเรื่องทุจริตใส่สมองเด็กอนุบาลในโรงเรียนอนุบาลทั่วประเทศ แบบใช้อำนาจรัฐบังคับควบคุม โรงเรียนอนุบาลทั้งของรัฐและเอกชน สะท้อนถึงปัญหาความกลวงทางความคิด และความบกพร่องสติปัญญา ในการแก้ปัญหาคอร์รัปชันแบบไทยๆ ของท่านผู้ทรงคุณวุฒิ และท่านผู้สูงด้วยวุฒิภาวะ

         ภาพเด็กหญิงเด็กชายตัวน้อยๆ วัย 3 ขวบ ร้องเพลง "ลา ลา ลา โตไปไม่โกง ลา ลา ลา โตไปไม่โกง" พร้อมแสดงท่าทางประกอบ ในขณะเข้าแถวเคารพธงชาติในตอนเช้าที่โรงเรียนอนุบาล

         ภาพอาจจะดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาครู อาจจะสร้างความพึงพอใจให้กับคนในหน่วยงานภาครัฐบางหน่วยในฐานะที่เป็นความสำเร็จที่น่าพอใจ

         แต่ในทัศนะของผม..มันคือภาพที่สะท้อนถึงความบิดเบี้ยวของสังคม มันคือภาพสะท้อนความกลวงทางความคิดและสติปัญญาของคนในสังคมเป็นอย่างยิ่ง..!!

         ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เกิดจากการกระทำชั่วของกลุ่มบุคคล 3 ฝ่ายสมคบคิดกัน คือ ฝ่ายนักการเมือง ฝ่ายข้าราชการประจำ และฝ่ายเอกชน ที่โกงเงินของรัฐและของประชาชน

         โดยมีฝ่ายที่ 4 คือฝ่ายประชาชนเป็นผู้ได้รับผลกระทบ..!!

         แม้ไม่ได้มีส่วนร่วมกระทำ แต่ก็ได้รับผลกระทบ มิหนำซ้ำสังคมยังกำหนดบทบาทหน้าที่ว่าประชาชนต้องร่วมรับผิดชอบต่อการโกงนั้นด้วย

         แนวคิดนี้ผมไม่โต้แย้ง เพราะประชาชนและสังคมย่อมต้องร่วมรับผิดชอบในผลผลิตของสังคม

         แต่วิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น โดยใช้แนวคิดว่า "การป้องกันต้องทำกันตั้งแต่อนุบาลจึงจะได้ผล" เป็นประเด็นปัญหาที่ต้องขบคิดพิจารณาให้ดีกว่านี้ รอบคอบกว่านี้..!!  

         เมื่อคิดยุทธศาสตร์ป้องกันคอร์รัปชั่นแบบนี้แล้ว รัฐได้ใช้ยุทธวิธีการสื่อสารด้วยการปลูกฝังแนวคิดต่อต้านคนโกงและการโกงเข้าไปปลูกฝังในหัวสมองของคนไทยทั้งประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กอนุบาล 1 !!

         ผมเห็นว่าแนวคิดและวิธีการแบบนี้เป็นแนวคิดที่อุบาทว์ที่สุด..!! เลวร้ายที่สุด..!! สร้างความเสียหายแก่เด็กตัวเล็กๆ ที่ไร้เดียงสามากที่สุด..!!

         เหตุผลของผม..เด็กอนุบาล 1 อายุเพียง 3 ขวบ ร่างกายกำลังเจริญเติบโตจากวัยทารกไปสู่เด็กปฐมวัย ทุกคนยังดื่มนม ทุกคนยังกินข้าว นอนกลางวัน เด็กส่วนมากร้องไห้กระจองอแง เพราะต้องพรากจากอ้อมอกแม่มาโรงเรียน สภาพจิตใจย่ำแย่ หวาดกลัว อ้างว้าง คิดถึงแม่ คิดถึงบ้าน

         โรงเรียนและครูต้องทำหน้าที่แทนพ่อแม่ ให้ความรัก ให้ความอบอุ่น..พยายามสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่เด็ก..ทั้งด้านกายภาพ เช่น สถานที่ ที่เรียน ที่ทานอาหาร ที่นอน ที่ออกกำลังกาย..และด้านจิตใจ มีครูสองสามคนช่วยกันดูแลสภาพจิตใจเด็ก มีการออกแบบวิธีการเรียนการสอนให้เป็นการเล่น และการเรียนรู้จากการเล่น play and learn โดยไม่ยัดเยียดความรู้ทางวิชาการ แต่มุ่งจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมกับเด็กอายุ 3 ขวบ เพื่อให้เด็กเกิดความอบอุ่นมั่นคงทางจิตใจ

         ในขณะที่โรงเรียนพยายามสร้างสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ที่ดีให้แก่เด็กอนุบาล..กลับมีการบังคับเชิงนโยบายให้โรงเรียนอนุบาล สอดแทรกแนวคิดและประสบการณ์การกระทำชั่วของคนที่บรรลุนิติภาวะ ไปในสมองของเด็กอนุบาลตั้งแต่อนุบาล 1 ถึงอนุบาล 3 ที่ยังไม่มีวุฒิภาวะ (matuarity)

         โดยใช้วิธีการให้ครูสอนในชั้นเรียน และใช้วิธีการบังคับให้เด็กร้องเพลง พร้อมกับเต้นและแสดงท่าทางประกอบ ในช่วงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า

         ภาพที่ปรากฏคือ เด็กร้องเพลงพึมพำไป จำได้บางคำก็ร้อง จำไม่ได้ก็งึมงำทำท่าไปตามครูบอกและครูเต้นนำ

         เด็กวัย 3 ขวบ ในทางจิตวิทยาถือว่า เป็นผ้าขาวบริสุทธิ์ นักวิชาการด้านจิตวิทยาวิจัยค้นคว้าได้คำตอบว่า ควรสร้างสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ที่ดีให้แก่เด็ก ไม่ควรใส่ข้อมูลด้านลบให้แก่เด็กในวัยนี้ เพราะจะมีผลกระทบต่อการเรียนรู้ การจดจำ การเกิดทัศนคติในทางที่ไม่ดี และจะส่งกระกระทบมาถึงตอนโตเป็นเด็กประถม มัธยม อุดมศึกษา

        ความคิดเรื่องการยัดเยียดแนวคิดการต่อต้านการคอร์รัปชั่นใส่สมองเด็กอนุบาลมาจากไหน?? คำตอบคือมาจาก ฝ่ายรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น พยายามทุกวิถีทางที่จะต่อสู้กับปัญหาการคอร์รัปชั่น..คิดค้นยุทธศาสตร์ป้องกัน ทั้งมาตรการทางกฎหมายที่อาศัยการลงโทษเป็นเครื่องมือ มาตรการทางสังคมในการควบคุม ตรวจสอบ และกดดัน และมาตรการทางวัฒนธรรมในการถ่ายทอดปลูกฝังค่านิยม และอุดมการณ์ โดยใช้สื่อมวลชน และการสื่อสาร เป็นกลไกและเครื่องมือ

         ใช้ยุทธวิธีการสื่อสารทุกรูปแบบ ทั้งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และการจัดกิจกรรม..เพื่อถ่ายทอดแนวคิดการต่อต้านคอร์รัปชั่น..โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักกลุ่มหนึ่งคือ โรงเรียนและเด็กนักเรียน..ตัวอย่างเช่น

         ก. การแต่งเพลงสอดแทรกแนวคิด (tied in)
         ข. การเผยแพร่สื่อบทเพลงแบบบังคับยัดเยียดผ่านช่องทางการสื่อสารแบบบังคับควบคุมได้ (control media) เช่น การเข้าแถวตอนเช้า เสียงตามสาย สถานีวิทยุของโรงเรียน
         ค. การบังคับให้เด็กเข้าค่ายอบรม

         หน่วยงานภาครัฐเป็นต้นคิด ร่วมมือกับนักวิชาการในชื่อที่ใช้สร้างความเชื่อถือให้ตัวเองตั้งแต่แรกพูดถึงโดยปราศจากการตรวจสอบความเป็น "อาจารย์" และ "นักวิจัย"ซึ่งความจริงก็เป็นเพียงอาจารย์ในมหาวิทยาลัยคนหนึ่งหรือคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

         ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้บรรลุนิติภาวะเหล่านี้ อาจจะได้รับอิทธิพลจากหนังสือชื่อ "กว่าจะรอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว" ที่คนญี่ปุ่นเขียนขึ้นเพื่อให้พ่อแม่ใช้เป็นคู่มือสอน อบรม ขัดเกลา เด็กทารก ผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้ได้ช่วยกันคิดค้นยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี โดยอาศัยข้อมูลจากผลการวิจัยมาชี้ว่า "ต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็กจึงจะเอาอยู่" ต้องป้องกันตั้งแต่เด็ก จึงจะรับมือกับปัญหาคอร์รัปชั่นได้
   
        นอกจากใช้กลไกรัฐแล้ว ยังใช้เงินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีอากรของประชาชน ในการเผยแพร่ยัดเยียดแนวคิดนี้ให้แก่เด็กอนุบาล

        เด็กอนุบาลวัย 3 ขวบ ที่พ่อแม่และครูพยายามสร้างสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ที่ดีทุกชนิดให้แก่เด็ก พยายามปกป้องภัยอันตรายทั้งทางร่างกายและจิตใจที่จะเกิดขึ้นแก่เด็ก..ทั้งที่บ้าน..และที่โรงเรียน..กลับถูกทำร้ายด้วยภัยจากการกระทำอันบกพร่อง ภัยอันคาดไม่ถึงที่เกิดจากคนที่มีความรู้ มีวิชาการ มีอำนาจรัฐในมืิอ

         ประเด็นที่ต้องพิจารณาในเรื่องนี้

          ประเด็นแรกคือ แนวคิด (concept) ของคำว่า การโกง การฉ้อโกง การทุจริต การคอร์รัปชั่น คืออะไร..เด็กอนุบาลวัย 3 ขวบ รู้จักไหม เข้าใจไหมว่ามันคืออะไร ?? แล้วทำไมผู้มีวุฒิภาวะอย่างเรา กลับคิดไม่ออกว่า มันเหมาะสมไหมที่จะไปยัดเยียดแนวคิดนี้ให้กับเด็กอายุเพียง 3 ขวบ ที่ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา (innocent)

          ประเด็นที่สอง ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นจากใคร ?? เด็กอนุบาล 3 ขวบมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดปัญหาอย่างไร เด็กมีส่วนร่วมกับการกระทำผิดในฐานะใด ในฐานะตัวการ?? ผู้สนับสนุน ?? 

         ประเด็นที่สาม เด็กต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อการทุจริตคอร์รัปชั่น อันเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง และบริษัทเอกชน ด้วยหรือไม่ ?? หากต้องร่วมรับผิดจะต้องร่วมรับผิดในระดับมากน้อยเพียงใด ?? 

         ประเด็นที่สี่ แม้เด็กจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคมนี้ แต่ก็เป็นสมาชิกที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา (innocent) แตกต่างจากสมาชิกคนอื่นที่เป็นประชาชนทั่วไปที่มีวุฒิภาวะ มีอำนาจเลือกกระหรือไม่กระทำสิ่งมดๆ ได้ด้วยตนเอง..แต่เด็กอนุบาลวัย 3 ขวบยังขาดวุฒิภาวะ ไม่มีอำนาจในการคิดและกระทำการโดยอิสระ ยังอยู่ในอำนาจปกครองของพ่อแม่ ครู และโรงเรียน..การเรียกร้องให้เด็กอนุบาลวัย 3 ขวบ ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อปัญหากฎหมายและปัญหาสังคมอันชั่วร้ายที่เกิดจากการกระทำของคนที่มีวุฒิภาวะ มีอิสระในการคิดการกระทำ (free will)  เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ ?? 

         ประเด็นที่ห้า การแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ด้วยแนวคิดและยุทธศาสตร์ "ต้องปลูกฝังจิตสำนึกไม่เป็นคนโกงตั้งแต่อนุบาล" เป็นการปลูกฝังเพาะบ่มความชั่วร้าย (evil mind) ของคำว่า "โกง" ให้แก่เด็กชั้นอนุบาลที่มีอายุระหว่าง 3-5 ขวบ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่ ?? 

          ประเด็นที่หก การสมคบร่วมมือกันระหว่างภาครัฐโดยฝ่ายออกนโยบาย โดยเจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ พนักงานของรัฐ ในฐานะที่เป็น "ตัวการ" และ "ผู้จ้างวาน" ซึ่งมีแนวคิดในการควบคุม (control) สิ่งต่างๆ ในสังคมด้วยอำนาจรัฐด้วยงบประมาณรัฐ กระทำลงไปด้วยความไม่รู้..ด้วยความบกพร่องทางความรับผิดชอบ..อีกทั้งนักวิชาการ นักวิจัย อาจารย์มหาวิทยาลัย ที่มีความกลวงทางความคิดและสติปัญญา..ในฐานะ "ผู้สนับสนุน" เป็นผู้ที่นำความรู้ด้านวิจัยมาใช้ส่งเสริมการกระทำอันเป็นภยันตรายแก่เด็กอนุบาล..ตลอดจนบริษัทผลิตสื่อ บริษัทออแกไนซ์ โดยครีเอทีฟผู้ขลาดเขลาเบาปัญญา..นายทุนผู้โลภมากในการหาเงิน..# หน่วยงานและบุคคลเหล่านี้จะรับผิดชอบต่อผลร้ายที่เกิดขึ้นแก่เด็ก (harm to other)   ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างไร ?? 

         ประเด็นที่เจ็ด การที่พวกคุณเอาปัญหาที่เด็กไม่ได้ก่อ ไปยัดเยียดใส่สมองเด็ก ไปยัดเยียดความรับผิดชอบความชั่วร้ายของสังคมพวกคุณให้แก่เด็กวัย 3 ขวบ เป็นการกระทำที่ถูกต้อง มีคุณธรรมหรือไม่ ?? 

         บทสรุป..หากพวกคุณไม่สามารถต่อสู้กับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้..
         หากพวกคุณหมดหนทางสู้..พวกคุณก็ควรยอมแพ้เสียแต่โดยดี..!!
         พวกคุณทั้งหมดนั่นแหละ..ที่จะต้องช่วยกันร้องเพลงแห่งความชั่วร้ายที่เคยยัดเยียดใส่สมองเด็กแบบนี้เสียเอง..

ลา ลา ลา โตไปไม่โกง
ลา ลา ลา โตไปไม่โกง
ลา ลา ลา แก่ไปไม่โกง
ลา ลา ลา แก่ไปไม่โกง
ลา ลา ลา ตายไปไม่โกง
ลา ลา ลา ตายไปไม่โกง

         พวกคุณทั้งหมดนี่แหละต้องรับผิดชอบเอง..มากกว่าที่จะมาบังคับให้เด็กอนุบาลอายุ 3 ขวบร้องเพลงแห่งความชั่วร้ายให้ซึมซับลงไปในจิตสำนึกที่สะอาดบริสุทธิ์ของเด็ก..

         หากพวกคุณไม่ได้ช่วยพ่อแม่ คุณครู และและโรงเรียน ในการดูแลผ้าขาว..
         คุณก็ไม่ควรเอาสีดำมาทาทับลงไปบนผ้าขาวที่บริสุทธิ์เหล่านี้เลย..!!

         ผมขอกราบวิงวอนด้วยความเคารพ

         รองศาสตราจารย์ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน 
         23 เมษายน 2556

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย

การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย รองศาสตราจารย์ ดร.ณัฐฐ์วัฒน์  สุทธิโยธิน 9 มิถุนายน 2559             การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย เป็นขั้นตอนที่สำคัญของการสร้างเครื่องมือวิจัยให้มีคุณภาพ สามารถนำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อวัดตัวแปรได้ถูกต้อง แม่นยำ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ มีความเชื่อถือได้ ซึ่งผู้วิจัยควรดำเนินการตามลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. การตรวจสอบเครื่องมือวิจัยเบื้องต้น             การตรวจเครื่องมือวิจัย สอบเบื้องต้น มีสิ่งสำคัญที่ผู้วิจัยต้องปฏิบัติ ดังต่อไปนี้             1.1 การตรวจสอบเชิงโครงสร้างของเครื่องมือวิจัย ผู้วิจัยต้องตรวจสอบว่า เครื่องมือวิจัยที่ตนเองสร้างขึ้นมานั้น มีความครอบคลุม มีความครบถ้วน ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยทุกข้อหรือไม่ ถ้ายังไม่ครบต้องดำเนินการสร้างเครื่องมือวัดให้ครบ             1.2 การตรวจสอบเชิงแนวคิด ผ...

ทฤษฎีเกี่ยวกับจิตสำนึก (Consciousness) การสร้างจิตสำนึก และการปลูกฝังจิตสำนึก

ทฤษฎีเกี่ยวกับจิตสำนึก (Consciousness) การสร้างจิตสำนึก และการปลูกฝังจิตสำนึก ........................................................................................................................................ จิตสำนึกคืออะไร? สร้างอย่างไร? ปลูกฝังอย่างไร? ความหมายของจิตสำนึก จิตสำนึก (Consciousness) หมายถึง ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึกตระหนัก และการให้ความสำคัญ ต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในระบบความคิดและจิตใจของมนุษย์ ลักษณะของจิตสำนึก จิตสำนึกเป็นสภาวะที่ผสมผสานกันระหว่าง ความรู้ความเข้าใจ ความคิด และความรู้สึก การเกิดจิตสำนึก จิตสำนึก (Consciousness) เกิดจากการรับรู้ การเรียนรู้ การประเมินค่า จากสิ่งเร้าต่าง ๆ ประสบการณ์ จนเกิดเป็นความตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนั้น สิ่งเร้าที่มนุษย์รับรู้ เรียนรู้ จนพัฒนามาเป็นจิตสำนึก ประกอบด้วยข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ อารมณ์ สภาพสังคม และวัฒนธรรม ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดจิตสำนึก 1. การรับรู้ 2. ทัศนคติ 3. ประสบการณ์ 4. ระยะเวลาในการรับรู้ ความถี่ ความต่อเนื่อง ผลของ...

นวัตกรรม ตอนที่ 4 กระบวนการสร้างนวัตกรรม

บทนำ การสร้างนวัตกรรมมีลักษณะเป็นกระบวนการ กระบวนการสร้างนวัตกรรมเป็นการสร้างการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการหลัก 4 กระบวนการ คือ           1. กระบวนการสร้างความคิด (Idea generation)           2. กระบวนการสร้างโอกาส (Opportunity recognition)           3. กระบวนการพัฒนา (Development)           4. กระบวนการทำให้เป็นจริง (Realization)             การสร้างนวัตกรรมเป็นเรื่องที่องค์กรจะต้องมีวิสัยทัศน์ มีเป้าหมาย และมีกลยุทธ์ในการดำเนินการ การสร้างนวัตกรรมมีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้นมา ในการนำเสนอเนื้อหาตอนนี้ที่ว่าด้วยกระบวนการสร้างนวัตกรรม จะได้กล่าวถึงเป้าหมายของการสร้างนวัตกรรม การเปลี่ยนแปลงกับการสร้างนวัตกรรม และกระบวนการสร้างนวัตกรรม เป้าหมายของการสร้างนวัตกรรม การสร้างนวัตกรรมมีเป้าหมาย...